แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
แบบคำขอโอนและรับโอนทะเบียนรถยนต์ แม้จะเป็นแบบพิมพ์ของกรมการขนส่งทางบก แต่ก็เป็นแบบพิมพ์สำหรับผู้ที่ประสงค์จะจดทะเบียนโอนและรับโอนรถยนต์นำไปกรอกข้อความลงไปได้เอง แล้วนำไปยื่นต่อนายทะเบียนเพื่อดำเนินการแก้ไขรายการจดทะเบียนในใบคู่มือจดทะเบียนเท่านั้น มิได้เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1 (9) การที่จำเลยที่ 1 ทำคำขอโอนทะเบียนรถยนต์ปลอมขึ้นทั้งฉบับนั้น จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 265 และใช้เอกสารสิทธิปลอมตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 จำเลยที่ 1 คงมีความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 14 เมษายน 2548 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 21 เมษายน 2548 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเอกสารขึ้นบางส่วน โดยนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายอุบล ผู้เสียหาย ซึ่งเขียนข้อความว่า ใช้เฉพาะซ่อมรถเท่านั้นมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงว่า ใช้สำหรับโอนรถหมายเลขทะเบียน บบ 8593 และปลอมลายมือชื่อ อุบล และนำสำเนารายการเกี่ยวกับบ้านของผู้เสียหายมาเขียนข้อความว่า ใช้สำหรับโอนรถหมายเลขทะเบียน บบ 8593 และปลอมลายมือชื่อ อุบล และเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2548 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเอกสารขึ้นทั้งฉบับ โดยนำแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจเขียนปรากฏข้อความว่า วันที่ 22 เมษายน 2548 นายอุบล อายุ 45 ปี เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย และเขียนที่อยู่และเขียนปรากฏข้อความว่า มอบอำนาจให้ นายมงคล อายุ 27 ปี เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย และเขียนที่อยู่และเขียนข้อความให้ปรากฏว่า โอนรถหมายเลขทะเบียน บบ 8593 ขอเปลี่ยนเล่มเนื่องจากเล่มเก่าชำรุด และปลอมลายมือชื่อ อุบล ในช่องผู้มอบอำนาจ ลงลายมือชื่อ จารุวรรณ ในช่องพยาน จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิขึ้นทั้งฉบับ โดยนำแบบพิมพ์ แบบคำขอโอนและรับโอนของกรมการขนส่งทางบก เขียนปรากฏข้อความว่า วันที่ 22 เมษายน 2548 ผู้โอนชื่อ นายอุบล อายุ 45 ปี สัญชาติไทย และเขียนที่อยู่และข้อความว่าผู้รับโอนชื่อ นายอัคเดช อายุ 24 ปี สัญชาติไทย และเขียนที่อยู่ปรากฏข้อความว่า ผู้โอนได้โอนรถคันหมายเลขทะเบียน บบ 8593 ราชบุรี และเขียนข้อความในชนิดรถ เลขตัวรถ ชนิดเครื่องยนต์ เลขเครื่องยนต์ ราคา และเขียนว่าได้แนบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ บัตรประจำตัวประชาชน สำเนารายการเกี่ยวกับบ้าน ปลอมลายมือชื่อ อุบล อ่อนเที่ยง ในช่องผู้โอน ลงลายมือชื่ออัคเดช ในช่องผู้รับโอน เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่พบเห็นเอกสารในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนารายการเกี่ยวกับบ้าน และหนังสือมอบอำนาจ หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงของผู้เสียหาย และแบบคำขอโอนและรับโอนเป็นเอกสารสิทธิที่แท้จริงของผู้เสียหายมอบอำนาจให้ นายมงคล ทำการโอนรถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย กรมการขนส่งทางบก ผู้อื่น หรือประชาชน เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2548 เวลากลางวัน ภายหลังจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเอกสารสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนารายการเกี่ยวกับบ้าน หนังสือมอบอำนาจและแบบคำขอโอนและรับโอนดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองซึ่งครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน บบ 8593 ราชบุรี ราคา 200,000 บาท ของผู้เสียหาย ได้ร่วมกันเบียดบังรถยนต์คันดังกล่าวเป็นของจำเลยทั้งสองโดยทุจริต โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนารายการเกี่ยวกับบ้าน หนังสือมอบอำนาจ และแบบคำขอโอนและรับโอนอันเป็นเอกสารปลอมดังกล่าว พร้อมคู่มือรายการจดทะเบียนรถยนต์ของผู้เสียหาย ไปใช้อ้างแสดงต่อนายทะเบียนขนส่งจังหวัดราชบุรี กรมการขนส่งทางบก เพื่อเป็นหลักฐานว่าผู้เสียหายโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน บบ 8593 ราชบุรี ให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อให้นายทะเบียนขนส่งจังหวัดราชบุรี จดเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์รถยนต์คันดังกล่าวในคู่มือรายการจดทะเบียนรถยนต์จากผู้เสียหายเป็นจำเลยที่ 1 ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย กรมการขนส่งทางบก ผู้อื่น หรือประชาชน ต่อมาจำเลยทั้งสองนำรถยนต์คันดังกล่าวไปขายให้แก่ผู้มีชื่อ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2548 พนักงานสอบสวนยึดหนังสือแบบคำขอโอนและรับโอน หนังสือมอบอำนาจ สำเนารายการเกี่ยวกับบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งจำเลยทั้งสองร่วมกันทำปลอมและนำไปใช้อ้างแสดงดังกล่าวเป็นของกลาง เหตุเกิดที่แขวงใด เขตใดไม่ปรากฏชัด กรุงเทพมหานคร และตำบลท่าราบ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 264, 265, 268, 352 ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์หรือชดใช้ราคา 200,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่และจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคแรก, 352 วรรคแรก การกระทำของจำเลยที่ 1 ฐานปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอม และฐานร่วมกันยักยอก เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เนื่องจากจำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ตามมาตรา 268 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 2 ปี และปรับ 4,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายเป็นเงิน 170,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ไม่รอการลงโทษ ไม่ปรับ ริบของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ปลอมลายมือชื่อผู้เสียหาย รับรองเอกสารสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนารายการเกี่ยวกับบ้าน และปลอมใบมอบอำนาจและคำขอโอนและรับโอนรถยนต์ของผู้เสียหายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโอนรถยนต์มาเป็นของจำเลยที่ 1 แล้วนำไปขายให้แก่ผู้อื่นนำเงินมาใช้หนี้การพนันผลฟุตบอล เป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทั้งที่ผู้เสียหายเป็นอาเขยของจำเลยที่ 1 และยินยอมให้จำเลยที่ 1 ยืมรถยนต์ไปใช้ แต่จำเลยที่ 1 กลับยักยอกรถยนต์คันดังกล่าวไป โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนและมีเหตุตามที่อ้างในฎีกา ก็ไม่สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมนั้น เห็นว่า แบบคำขอโอนและรับโอนทะเบียนรถยนต์แม้จะเป็นแบบพิมพ์ของกรมกาขนส่งทางบก แต่ก็เป็นแบบพิมพ์สำหรับผู้ที่ประสงค์จะจดทะเบียนโอนและรับโอนรถยนต์นำไปกรอกข้อความลงไปได้เอง แล้วนำไปยื่นต่อนายทะเบียนเพื่อดำเนินการแก้ไขรายการจดทะเบียนในใบคู่มือจดทะเบียนเท่านั้น มิได้เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (9) การที่จำเลยที่ 1 ทำคำขอโอนทะเบียนรถยนต์ปลอมขึ้นทั้งฉบับนั้น จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 และใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 จำเลยที่ 1 คงมีความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก, มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก และ 352 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก เพียงกระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7