คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2338/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลย จำเลยยื่นอุทธรณ์ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์แล้วพิจารณาคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 ดังนี้ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีย่อมถึงที่สุด จำเลยจะฎีกาคัดค้านว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดไม่ได้ หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเป็นหมายอาญา มิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 และ 216 หากจำเลยเห็นว่าการออกหมายไม่ถูกต้องก็ต้องร้องขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขหมายนั้น เพื่อให้ศาลชั้นต้นพิจารณามีคำสั่งเสียก่อน ฎีกาของจำเลยที่คัดค้านว่าศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดไม่ถูกต้องจึงเป็นฎีกาที่ต้องห้าม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 80, 83 นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลย ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1609/2532 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธแต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณานายเอิบ อินทร์เนื่อง บิดาของผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 289(4) ประกอบด้วย มาตรา 80,83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิต ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้จำคุกตลอดชีวิต คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาจึงไม่มีเหตุที่จะลดโทษให้จำเลย เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยแล้ว จึงไม่นำโทษจำคุกมารวม คงให้ประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว คำขอโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 16 มิถุนายน 2535 ขอถอนอุทธรณ์ โดยขอให้คดีถึงที่สุดก่อนวันที่ 12 สิงหาคม 2535 เพื่อจะได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ. 2535
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ยังคงต้องพิจารณาคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 และพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2535 และออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้คดีถึงที่สุดในวันนั้นเอง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์ได้และพิจารณาพิพากษาคดีนี้ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 จึงชอบแล้ว และเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน คดีย่อมถึงที่สุด จำเลยจะฎีกาคัดค้านว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดไม่ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาคัดค้านว่าศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดไม่ถูกต้อง ขอให้แก้หมายเป็นว่าถึงที่สุดวันที่ 16 มิถุนายน 2535อันเป็นวันที่จำเลยขอถอนอุทธรณ์นั้น เห็นว่าหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเป็นหมายอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(9) มิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 และมาตรา 216 หากจำเลยเห็นว่าการออกหมายไม่ถูกต้องก็ต้องไปร้องขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขหมายนั้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นพิจารณามีคำสั่งเสียก่อน ฎีกาของจำเลยทั้งหมดจึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share