คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1630/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทซึ่งระบุว่าจำเลยซึ่งเช่าตึกพิพาทจากโจทก์ร่วมได้โอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์เป็นผู้เช่าต่อไปเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306ซึ่งกฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือ เมื่อสัญญาดังกล่าวมิได้กำหนดเรื่องค่าตอบแทนไว้ ดังนั้น การที่จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่ามีค่าตอบแทนและโจทก์ยังค้างชำระค่าตอบแทนดังกล่าวบางส่วนและถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญานั้น จึงเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่าตึกแถว 3 ชั้น จากโจทก์ร่วมจำเลยพร้อมด้วยบริวารได้เข้าอยู่อาศัยในตึกแถวดังกล่าวเนื่องจากเป็นผู้เช่าเดิม ต่อมาจำเลยได้โอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์และมีหน้าที่จะต้องส่งมอบตึกแถวให้แก่โจทก์ แต่จำเลยกลับไม่ส่งมอบและยังอยู่ในตึกแถวดังกล่าวตลอดมา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายที่ไม่สามารถเข้าไปทำการค้าได้ คิดเป็นค่าเสียหายเดือนละ 500 บาทขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารโดยให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวดังกล่าวพร้อมทั้งส่งมอบตึกแถวในสภาพเรียบร้อย ห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากตึกแถวและส่งมอบให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม
จำเลยให้การและคัดค้านการเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมว่า เดิมจำเลยเช่าตึกแถวตามฟ้องจากโจทก์ร่วม ต่อมาจำเลยได้โอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทให้โจทก์และสามีโจทก์ โดยโจทก์และสามีตกลงชำระค่าตอบแทนให้แก่จำเลยเป็นเงิน 1,500,000 บาท โจทก์กับสามีชำระแล้ว1,200,000 บาท คงค้างชำระ 300,000 บาทโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องส่งมอบตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์การที่จำเลยยังไม่ส่งมอบตึกพิพาทให้แก่โจทก์จึงมิใช่การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวพิพาท พร้อมทั้งส่งมอบตึกแถว ดังกล่าวแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไปให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะออกไปจากตึกพิพาทและส่งมอบแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฎีกาศาลฎีกาอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะฎีกาโจทก์จากสารบบความ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นควรยกปัญหาว่า การสืบพยานบุคคลในข้อที่ว่าจำเลยโอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทให้โจทก์โดยมีค่าตอบแทนเป็นเงิน 1,500,000 บาท นั้น เป็นการสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมข้อความในเอกสารสัญญาโอนสิทธิการเช่าต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 หรือไม่ขึ้นวินิจฉัยเสียก่อน เห็นว่า สัญญาโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทตามเอกสารหมายจร.1 ซึ่งระบุว่า จำเลยซึ่งเช่า ตึกพิพาทจากโจทก์ร่วมได้โอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์เป็นผู้เช่าต่อไป เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 ซึ่งกฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือ เมื่อสัญญาดังกล่าวมิได้กำหนดเรื่องค่าตอบแทนไว้ดังนั้น การที่จำเลยจะนำพยานบุคคล มาสืบว่ามีค่าตอบแทนและโจทก์ยังค้างชำระค่าตอบแทนดังกล่าวบางส่วน และถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญานั้น จึงเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามสัญญาโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทเอกสารหมาย จร.1 ว่าการโอนสิทธิการเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่มีค่าตอบแทน เมื่อจำเลยโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ และโจทก์ได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมเจ้าของตึกพิพาทแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในตึกพิพาทต่อไปไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ร่วมในข้ออื่นต่อไป”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวพิพาท พร้อมทั้งส่งมอบตึกแถวดังกล่าวให้โจทก์ร่วมในสภาพเรียบร้อยและห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share