คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2503/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ระหว่างที่มีการทำสัญญากู้เงินระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้คัดค้านและบริษัท ภ. นั้น จำเลยที่ 1 ดำรงสินทรัพย์ขาดสภาพคล่องจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าไม่อาจชำระเงินคืนเจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ 1 ได้ การที่ผู้คัดค้านกู้เงินจากจำเลยที่ 1 แล้วในวันเดียวกันนั้นผู้คัดค้านนำเงินจำนวนดังกล่าวทั้งหมดไปให้บริษัท ภ. กู้ จำเลยที่ 1 ยอมรับชำระหนี้จากผู้คัดค้านด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัท ภ. โดยที่ขณะนั้นบริษัทภ. เป็นหนี้ จำเลยที่ 1 ตามตั๋วสัญญาใช้เงินถึง 64,000,000 บาทอยู่แล้ว และจำเลยที่ 1 ยืนยันจะไม่เรียกร้องเอาเงินส่วนที่ยังได้ไม่ครบจากผู้คัดค้านโดยผู้คัดค้านได้ผลประโยชน์จากผลต่างของดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 เช่นนี้ เป็นพฤติการณ์ที่ส่อพิรุธให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และผู้คัดค้านรู้ดีอยู่แล้วว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้เจ้าหนี้อื่นของจำเลยที่ 1 เสียเปรียบ อันเป็นการร่วมกันฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด ตามทางสอบสวนของผู้ร้องปรากฏว่า เมื่อวันที่28 กันยายน 2526 ผู้คัดค้านกู้เงิน 10,000,000 บาท จากจำเลยที่ 1โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับละ 5,000,000 บาท จำนวน 2 ฉบับให้จำเลยที่ 1 ดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ในวันเดียวกันนั้นผู้คัดค้านให้บริษัทภาวินเครดิต จำกัด กู้เงิน 10,000,000 บาทโดยบริษัทดังกล่าวออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับละ 5,000,000 บาทจำนวน 2 ฉบับ ให้ผู้คัดค้าน ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีและพร้อมกันนั้นผู้คัดค้านได้มีหนังสือแจ้งจำเลยที่ 1 ขอชำระหนี้ด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิต จำกัด และผู้คัดค้านได้สลักหลังจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทดังกล่าวมอบให้แก่จำเลยที่ 1ในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือตอบตกลงรับชำระหนี้จากผู้คัดค้านด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทดังกล่าวโดยสละสิทธิที่จะเรียกร้องให้ผู้คัดค้านชำระหนี้อีก และตกลงว่าหากต้องมีการบังคับจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทดังกล่าวได้เงินไม่พอชำระหนี้ก็จะไม่เรียกร้องเอาจากผู้คัดค้าน ทั้งบริษัทภาวินเครดิต จำกัดก็มีหนังสือยืนยันที่จะชำระหนี้แทนผู้คัดค้านด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินในวันเดียวกันนั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการทำนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำลงทั้งที่ทราบว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 เสียเปรียบเพราะมีผลให้หนี้เงินกู้และหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้คัดค้านเป็นหนี้จำเลยที่ 1 อยู่ 10,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยระงับไปทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นยังไม่ทราบผลว่าจำเลยที่ 1จะได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิต จำกัดหรือไม่เพียงใด นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวบริษัทภาวินเครดิตจำกัด ก็ยังเป็นหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับอื่น ๆ ต่อจำเลยที่ 1อีกหลายฉบับเป็นเงินถึง 64,000,000 บาท โดยยังไม่รวมดอกเบี้ยและบริษัทดังกล่าวก็ไม่สามารถชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ได้ อีกทั้งในช่วงระยะเวลาดังกล่าวสภาพการเงินของจำเลยที่ 1 ก็ขาดสภาพคล่องโดยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ผู้อื่นเกือบ 2,000 ราย เป็นเงินประมาณ900,000,000 บาท และไม่อาจชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวได้เป็นการทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบอันเป็นการฉ้อฉล ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ยอมรับชำระหนี้ด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิต จำกัด และข้อตกลงสละสิทธิที่จะเรียกร้องให้ผู้คัดค้านชำระหนี้ใด ๆ อีก ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 113 และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า นิติกรรมตามข้อตกลงดังกล่าวสมบูรณ์แล้ว โดยผู้คัดค้านโอนสิทธิเรียกร้องการเรียกเก็บเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิต จำกัด ให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อเป็นการชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้คัดค้านออกให้จำเลยที่ 1โดยผู้คัดค้านไม่ทราบว่าบริษัทภาวินเครดิต จำกัด ไม่สามารถชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว และไม่ทราบว่าบริษัทดังกล่าวเป็นหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับอื่น ๆ ต่อจำเลยที่ 1 อีกหลายฉบับผู้คัดค้านมิได้รู้ข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบจึงเป็นการทำข้อตกลงดังกล่าวโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้เพิกถอนข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ยอมรับชำระหนี้ด้วยตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่168/26 และเลขที่ 169/26 ของบริษัทภาวินเครดิต จำกัด และข้อตกลงสละสิทธิที่จะเรียกร้องให้ผู้คัดค้านชำระหนี้ใด ๆ อีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 113 และให้กลับคืนสู่สถานะเดิม
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในระหว่างที่มีการกู้ยืมเงินระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้คัดค้านและบริษัทภาวินเครดิต จำกัด นั้น จำเลยที่ 1ดำรงสินทรัพย์ขาดสภาพคล่อง จำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าไม่อาจชำระเงินคืนเจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ 1 ได้การที่ผู้คัดค้านกู้ยืมเงินไปจากจำเลยที่ 1 แล้วในวันเดียวกันนั้นผู้คัดค้านนำเงินจำนวนดังกล่าวทั้งหมดไปให้บริษัทภาวินเครดิตจำกัด กู้ยืมก็ดี การที่จำเลยที่ 1 ยอมตกลงรับชำระหนี้จากผู้คัดค้านด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิต จำกัด โดยที่บริษัทภาวินเครดิต จำกัด เป็นหนี้จำเลยที่ 1 ตามตั๋วสัญญาใช้เงินถึง 64,000,000 บาท อยู่แล้วก็ดี และการที่จำเลยที่ 1 ยืนยันจะไม่เรียกร้องเอาเงินส่วนที่ยังได้ไม่ครบจากผู้คัดค้านโดยผู้คัดค้านได้ผลประโยชน์จากผลต่างของดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ก็ดี ล้วนเป็นพฤติการณ์ที่ส่อพิรุธให้ เห็นว่า ทั้งจำเลยที่ 1 และผู้คัดค้านรู้ดีอยู่แล้วว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้เจ้าหนี้อื่นของจำเลยที่ 1เสียเปรียบ ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านร่วมกันทำการฉ้อฉลตามมาตรา 237 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนพยานของผู้คัดค้านที่นำสืบว่า ผู้คัดค้านกู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 แล้วให้บริษัทภาวินเครดิต จำกัด กู้อีกต่อหนึ่งเป็นประเพณีทางการค้านั้นมีน้ำหนักน้อยเพราะหากจำเลยที่ 1 จะให้บริษัทภาวินเครดิต จำกัดกู้เงินตามปกติก็คงไม่จำต้องให้ผลประโยชน์แก่ผู้คัดค้านในผลต่างของดอกเบี้ยดังกล่าว ผู้คัดค้านยอมรับผลประโยชน์และตกลงทำนิติกรรมให้จำเลยที่ 1 สละสิทธิเรียกร้องใด ๆ จากผู้คัดค้านเช่นนี้ย่อมเป็นการผิดปกติวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจโดยสุจริตจะกระทำกันพยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักในการรับฟังดีกว่า
พิพากษายืน

Share