คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7354/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์หาได้กระทำการใด ๆ เพื่อมิให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้แต่อย่างใดไม่ การที่โจทก์ไม่ตกลงเพิ่มเงินเดือนแก่ลูกจ้างตามความประสงค์ของลูกจ้างเนื่องจากพิจารณาเห็นว่าตามสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันโจทก์ไม่สามารถจะเพิ่มค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างได้ ซึ่งเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่ทำสัญญาจ้างฉบับที่ 4 กับโจทก์จนสัญญาจ้างฉบับที่ 3 สิ้นสุดลง ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำการดังกล่าวเพื่อไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไป เพราะโจทก์มิได้ลดเงินเดือนหรือค่าจ้างของลูกจ้างและโจทก์มีความประสงค์ที่จะให้ลูกจ้างทำงานต่อไปในอัตราเงินเดือนเดิม แต่ลูกจ้างกลับเป็นฝ่ายที่ไม่ไปทำงานกับโจทก์เองหลังจากสัญญาจ้างสิ้นสุดลงกรณีถือไม่ได้ว่าโจทก์เลิกจ้างลูกจ้าง โจทก์ไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้าง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการรับจ้างซ่อมเรือ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล เป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรีจำเลยที่ 2 ได้มีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 23/2543 ให้โจทก์จ่ายเงินค่าชดเชยจำนวน 300,000 บาท ให้แก่นายเอิร์ล วี คาบาบันลูกจ้าง ซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ เพราะโจทก์ว่าจ้างนายเอิร์ล วี คาบาบันลูกจ้างทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพได้ทำสัญญาว่าจ้างการทำงานติดต่อกัน 3 ฉบับ สัญญาจ้างฉบับที่ 3 เป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน ก่อนสิ้นสุดสัญญาจ้างฉบับที่ 3 โจทก์เสนอจ้างนายเอิร์ล วี คาบาบัน ให้ทำงานกับโจทก์ต่ออีกกำหนดระยะเวลา2 ปี อัตราค่าจ้างเท่าเดิมคือเดือนละ 37,500 บาท แต่นายเอิร์ลวี คาบาบัน ไม่ตอบรับข้อเสนอเพราะต้องการค่าจ้างอัตราเดือนละ57,000 บาท โจทก์เห็นว่างานในหน้าที่ของนายเอิร์ล วี คาบาบัน ได้รับค่าจ้างอัตราเดือนละ 37,500 บาท เป็นอัตราเงินเดือนที่เหมาะสมแล้ว โจทก์จึงไม่ปรับเงินเดือนให้แต่ประสงค์จะให้นายเอิร์ล วี คาบาบันทำงานกับโจทก์ต่อไปในอัตราค่าจ้างเดิม จึงสร้างความไม่พอใจให้แก่นายเอิร์ล วี คาบาบัน เมื่อครบกำหนดเวลาการจ้างสัญญาจ้างฉบับที่ 3 แล้วนายเอิร์ล วี คาบาบัน ก็ละทิ้งงานโดยไม่ไปทำงานตามปกติโจทก์ไม่ประสงค์จะเลิกจ้างแต่นายเอิร์ล วี คาบาบัน ไม่เคยบอกเลิกจ้างแต่นายเอิร์ล วี คาบาบัน ไม่ยินยอมทำงานกับโจทก์เอง สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับนายเอิร์ล วี คาบาบัน สิ้นสุดลงด้วยความสมัครใจด้วยความประสงค์และเจตนาของนายเอิร์ล วี คาบาบัน เพียงฝ่ายเดียวโจทก์ไม่เคยเลิกจ้างและไม่ใช่เป็นกรณีหรือลักษณะที่โจทก์กระทำการใด ๆเพื่อไม่ให้นายเอิร์ล วี คาบาบัน ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ถือไม่ได้ว่าโจทก์เลิกจ้าง ขอให้เพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานที่ 23/2543 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2543
ศาลแรงงานกลางพิจารณาคำฟ้องแล้วมีคำสั่งให้รับคำฟ้องในส่วนของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณา ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม มิได้เกี่ยวข้องกับคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่โจทก์มีคำขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอน จำเลยที่ 1 มิได้กระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์เลิกจ้างนายเอิร์ล วี คาบาบัน ลูกจ้างหรือไม่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118วรรคสอง บัญญัติว่า “การเลิกจ้างตามมาตรานี้หมายความว่า การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป” ซึ่งหมายความว่านายจ้างจะต้องกระทำการใด ๆ เพื่อไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้จึงจะเป็นการเลิกจ้างตามบทบัญญัติดังกล่าวข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติได้ความว่า โจทก์จ้างนายเอิร์ล วีคาบาบัน ลูกจ้างเข้าทำงานเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2536 ทำงานที่อู่ซ่อมเรือ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพเกี่ยวกับงานซ่อมเรือและได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 37,500บาท โจทก์ทำสัญญาจ้างกับลูกจ้างสามฉบับ การทำงานตามสัญญาจ้างทั้งสามฉบับมีระยะเวลาติดต่อกัน โดยฉบับแรกตั้งแต่วันที่ 30กรกฎาคม 2536 และฉบับที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2540 ถึงวันที่ 14 มกราคม 2543 ครั้นถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2542 ก่อนสัญญาจ้างฉบับที่ 3 ครบกำหนด โจทก์เรียกให้ลูกจ้างไปทำสัญญาจ้างฉบับที่ 4 มีกำหนดระยะเวลาการจ้างต่อจากสัญญาจ้างฉบับที่ 3 ไปอีก2 ปี โจทก์ประสงค์จะจ้างลูกจ้างให้ทำงานในหน้าที่เดิมต่อไปในอัตราค่าจ้างเท่าเดิม แต่ลูกจ้างเสนอขอเงินเดือนเพิ่มเป็นเดือนละ 57,000บาท และยังไม่ลงชื่อตอบรับการจ้างตามสัญญาจ้างฉบับที่ 4 โจทก์พิจารณาเห็นว่าสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันค่าจ้างของลูกจ้างเดือนละ37,500 บาท เป็นจำนวนที่สมควรแล้ว ไม่สามารถเพิ่มเงินเดือนให้ตามที่ลูกจ้างต้องการได้ จึงไม่ตกลงเพิ่มเงินเดือนให้ตามที่ลูกจ้างต้องการแต่โจทก์ประสงค์ให้ลูกจ้างทำงานต่อในอัตราเงินเดือนเดิมเมื่อครบกำหนดสัญญาจ้างฉบับที่ 3 ในวันที่ 14 มกราคม 2543ลูกจ้างก็ไม่ได้ไปทำงานที่อู่ซ่อมเรือของโจทก์อีก โจทก์ไม่เคยบอกเลิกจ้างลูกจ้างไม่ว่าด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือ ลูกจ้างไม่ได้ไปทำงานเองหลังจากที่สิ้นสุดสัญญาจ้างฉบับที่ 3 แล้ว จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจะเห็นได้ว่าโจทก์หาได้กระทำการใด ๆ เพื่อมิให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้แต่อย่างใดไม่ การที่โจทก์ไม่ตกลงเพิ่มเงินเดือนแก่ลูกจ้างตามความประสงค์ของลูกจ้างเนื่องจากพิจารณาเห็นว่าตามสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันโจทก์ไม่สามารถจะเพิ่มค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างได้ ซึ่งเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่ทำสัญญาจ้างฉบับที่ 4 กับโจทก์จนสัญญาจ้างฉบับที่ 3 สิ้นสุดลง ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำการดังกล่าวเพื่อไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไป เพราะโจทก์มิได้ลดเงินเดือนหรือค่าจ้างของลูกจ้างและโจทก์มีความประสงค์ที่จะให้ลูกจ้างทำงานต่อไปในอัตราเงินเดือนเดิม แต่ลูกจ้างกลับเป็นฝ่ายที่ไม่ไปทำงานกับโจทก์เองหลังจากสัญญาจ้างสิ้นสุดลงแล้ว กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เลิกจ้างลูกจ้าง ดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมา โจทก์ไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยแก่นายเอิร์ล วี คาบาบัน ลูกจ้างตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 23/2543 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2543

Share