แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 กับพวก โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งห้าทราบเรื่องดีแล้ว แต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ยังรับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งห้ามีเจตนาโอนและรับโอนที่ดินพิพาทเพื่อขัดขวางมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดตามที่โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1ชำระหนี้ไว้แล้ว นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าว จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนได้โดยไม่จำต้องใช้สิทธิในเรื่องการเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันแก้ไขทางทะเบียนที่ดินพิพาทกลับมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 เพื่อจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา แต่เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมกลับมีชื่อเป็นเจ้าของใน น.ส.3 ก. สำหรับที่ดินพิพาทโดยอัตโนมัติ ไม่จำต้องบังคับจำเลยทั้งห้าให้ร่วมกันแก้ไขทางทะเบียนเปลี่ยนกลับมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ตามคำขอของโจทก์ดังกล่าวอีก
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แปลงหนึ่ง และระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 อีกแปลงหนึ่งโดยมิได้เรียกร้องเอาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นของโจทก์ เพียงแต่ขอให้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามเดิมเท่านั้น จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลในแต่ละชั้นศาลสำนวนละ 200 บาท
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์ผ่อนชำระหนี้1,100,000 บาท แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) พร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ตามที่ตกลงจะซื้อขายกัน กลับจดทะเบียนโอนขายที่ดินบางแปลงแก่บุคคลภายนอกวันที่ 7 สิงหาคม 2532 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับพวกโอนที่ดินส่วนที่เหลือแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้บังคับคดีตามคำฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาพิพากษายืน ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นนั้นเอง จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดิน1 แปลงแก่จำเลยที่ 2 พร้อมกับโอนขายที่ดินอีก 1 แปลงแก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ทั้งที่จำเลยทั้งห้ารู้อยู่แล้วว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้ใช้สิทธิทางศาลเพื่อเรียกร้องเอาที่ดินทั้งสองแปลงแล้ว นิติกรรมระหว่างจำเลยทั้งห้าดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนหรือทำลายนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินทั้งสองแปลงนั้น ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันแก้ไขทางทะเบียนเปลี่ยนกลับมาเป็นชื่อจำเลยที่ 1 เพื่อจดทะเบียนโอนที่ดินแก่โจทก์ทันที โดยให้จำเลยทั้งห้าเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายร่วมกัน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งห้าให้การและแก้ไขคำให้การเป็นใจความว่า โจทก์ชำระหนี้แก่ธนาคารแทนจำเลยที่ 1 โดยรับโอนที่ดินไปแล้ว 1 แปลง นอกจากนั้นยังยึดที่ดินไว้เป็นประกันอีกแปลงหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงไม่มีภาระที่จะต้องชำระหนี้จำนวนนั้นแก่โจทก์อีก จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิโอนขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ตามลำดับ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ต่างก็ซื้อที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนมิได้ร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ จึงไม่เป็นโมฆะ โจทก์ได้รู้ถึงเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแล้ว แต่ฟ้องร้องเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาดังกล่าว จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่าเดิมจำเลยที่ 1 กับพวกตกลงขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกับที่ดินอื่นอีก 3 แปลงแก่โจทก์โดยที่ดิน 5 แปลงนี้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นำยึดเพื่อขายทอดตลาดบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 495/2529 ของศาลชั้นต้น และโจทก์จะชำระหนี้แก่ธนาคารแทนจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นการชำระราคา ต่อมาเมื่อโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 กับพวกครบถ้วนและธนาคารจดทะเบียนถอนจำนองแล้ว จำเลยที่ 1 กับพวกไม่ยอมโอนที่ดิน 5 แปลงแก่โจทก์ตามสัญญา วันที่ 7 สิงหาคม 2532 โจทก์ฟ้องคดีเพื่อขอบังคับให้จำเลยที่ 1 กับพวกจดทะเบียนโอนที่ดิน 5 แปลงนี้ให้แก่โจทก์ รุ่งขึ้นวันที่ 8 เดือนเดียวกัน โจทก์ยื่นคำขอแจ้งเรื่องระหว่างดำเนินการทางศาลดังกล่าวต่อนายอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอชัยบาดาลแจ้งแก่บุคคลภายนอกที่ประสงค์จะทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงทราบว่าโจทก์ได้ฟ้องขอบังคับให้จำเลยที่ 1 กับพวกโอนสิทธิในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 17 ตุลาคม 2532 ขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 868 แก่จำเลยที่ 2 และโอนขายที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 867 แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 โดยเจ้าพนักงานที่ดินแจ้งข้อความที่โจทก์ฟ้องคดีให้จำเลยทั้งห้าทราบแล้ว แต่จำเลยทั้งห้าต่างให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินยืนยันให้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลง สำหรับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 225/2535 ของศาลชั้นต้น ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 กับพวกจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่โจทก์
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นโมฆะเพราะมีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องทั้งสองสำนวนโดยตั้งประเด็นใหม่ว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นโมฆะซึ่งศาลชั้นต้นอนุญาตตามคำร้องของโจทก์นั้นแล้ว และจำเลยทั้งห้าก็ได้ขอแก้ไขคำให้การทั้งสองสำนวนแล้วว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวไม่เป็นโมฆะ แต่ศาลชั้นต้นยังคงชี้สองสถานโดยตั้งประเด็นในเรื่องนี้ว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 โดยจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 กระทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ อันเป็นคนละเรื่องกับคำฟ้องและคำให้การที่โจทก์และจำเลยทั้งห้าแก้ไขซึ่งเป็นการผิดพลาดไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 ศาลสูงไม่จำต้องถือตามและมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปตามประเด็นที่ถูกต้องได้เมื่อโจทก์อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยให้โจทก์จึงมีสิทธิยกขึ้นฎีกาต่อมา สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะมิได้ขออายัดที่ดินพิพาททั้งสองแปลงต่อเจ้าพนักงานที่ดินก็ตามแต่โจทก์ก็ได้แจ้งเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยที่ 1 กับพวกโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่โจทก์ตามคำฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 225/2535 ของศาลชั้นต้น ต่อนายอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอชัยบาดาลแจ้งแก่บุคคลภายนอกที่ประสงค์จะทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงทราบเรื่องดังกล่าวแล้วด้วย และหลังจากนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 รับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ทั้งจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ต่างก็ได้ทราบจากเจ้าพนักงานที่ดินแล้วว่าโจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยที่ 1 กับพวกโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนี้ให้แก่โจทก์แต่จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ยังคงยืนยันให้เจ้าพนักงานที่ดินรับจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้ตามคำขอ การกระทำของจำเลยทั้งห้าเช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งห้ามีเจตนาโอนและรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเพื่อขัดขวางมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดตามที่โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ไว้แล้ว นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนี้จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 และโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนได้โดยไม่จำต้องใช้สิทธิในเรื่องการเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาในเรื่องอายุความตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งห้าต่อไป เนื่องจากจำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้เฉพาะเรื่องอายุการเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 เท่านั้น จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในกรณีอื่นอีก แต่ที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันแก้ไขทางทะเบียนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกลับมาเป็นชื่อจำเลยที่ 1 เพื่อจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์โดยให้จำเลยทั้งห้าเสียค่าใช้จ่ายร่วมกัน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนานั้น เห็นว่า เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมกลับมีชื่อเป็นเจ้าของในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) สำหรับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงโดยอัตโนมัติ ไม่จำต้องบังคับจำเลยทั้งห้าตามคำขอของโจทก์ดังกล่าวอีก อนึ่ง คดีทั้งสองสำนวนนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แปลงหนึ่ง และระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 อีกแปลงหนึ่งโดยมิได้เรียกร้องเอาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นของโจทก์เพียงแต่ขอให้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามเดิมเท่านั้น จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลในแต่ละชั้นศาลสำนวนละ200 บาท เมื่อโจทก์เสียค่าขึ้นศาลทั้งสองสำนวนมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์อันเป็นการไม่ถูกต้อง จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาแก่โจทก์”
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 868 ตำบลบัวชุม อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 867 ตำบลบัวชุม อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 คืนค่าขึ้นศาลที่โจทก์เสียมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ทั้งสองสำนวนคงเรียกไว้อย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ทั้งสามศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ในสำนวนแรกและให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ในสำนวนหลัง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก