แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ความผิดฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดที่ร่วมกันกระทำด้วยกันได้ มิใช่เป็นความผิดเฉพาะตัวของผู้มีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองสั้นไม่ทราบขนาด จำนวน 1 กระบอก พร้อมกับเครื่องกระสุนปืนลูกซองซึ่งใช้กับอาวุธปืนดังกล่าวไม่ทราบจำนวนนัด ซึ่งอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวสามารถใช้ยิงได้ไว้ในความครอบครองและร่วมกันพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะ ถนนในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสามไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายและได้ร่วมกันใช้อาวุธดังกล่าวและรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะทำการปล้นทรัพย์สร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง ราคา 2,700 บาทสร้อยข้อมือทองคำหนัก 2 สลึง ราคา 2,700 บาท พระเครื่องเลี่ยมทองคำ1 องค์ ราคา 1,400 บาท และเงินสดชนิดต่าง ๆ จำนวน 70 บาทรวมราคาทรัพย์ 6,870 บาท ของนางปราณี เลิศวงษ์ตระกูลผู้เสียหายทั้งร่วมกันต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานและผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานตามกฎหมาย โดยใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่มีไว้และพาไปดังกล่าวยิงนายดาบตำรวจสุนันท์ พุกแจงงามเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ และนายสมยศ เลิศวงษ์ตระกูลกับนายวุฒิพงษ์ เผ่าผาง ซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานในการที่เจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่โดยเจตนาฆ่าให้ตาย จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำของจำเลยทั้งสามไม่บรรลุผลเนื่องจากกระสุนปืนที่ยิงไปไม่ถูกนายดาบตำรวจสุนันท์กับพวก นายดาบตำรวจสุนันท์กับพวกจึงไม่ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 138, 140, 288, 289,340, 340 ตรี และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์รวมเป็นเงิน 6,870 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย และขอให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 คดีนี้ต่อกับโทษของจำเลยที่ 2 ที่ 1 และที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 184282532 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง 72 วรรคแรก72 ทวิ วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี เรียงกระทงลงโทษฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 6 เดือน ฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้ยานพาหนะจำคุกคนละ 20 ปี รวมจำคุกคนละ 21 ปี 6 เดือนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3คนละ 10 ปี 9 เดือน และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์รวมเป็นเงิน 6,870 บาท แก่ผู้เสียหาย ข้อหาต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติการตามหน้าที่ให้ยกฟ้อง และที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยทั้งสามต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1842/2532 ของศาลชั้นต้นนั้นไม่ปรากฏว่าศาลได้พิพากษาแล้ว คำขอส่วนนี้จึงให้ยกจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานและให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 14 ปี 4 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละไม่เกิน 5 ปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก คงฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายสำหรับความผิดทั้งสองฐานนี้ ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 3 มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมกับจำเลยที่ 3 พาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตจำเลยที่ 2 ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า การมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนเป็นความผิดเฉพาะตัวของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้มีและพาเพียงคนเดียวเท่านั้น จำเลยที่ 2 ไม่ได้มีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนติดตัว จึงไม่มีความผิดทั้งสองกระทงนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดที่ร่วมกันกระทำด้วยกันได้มิใช่เป็นความผิดเฉพาะตัวของผู้มีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนเท่านั้น ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน