แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัทโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าในการให้กู้ยืมเงิน โจทก์ให้ผู้ถือหุ้นของโจทก์กู้ยืมเงินเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิและเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบการสงเคราะห์ผู้ถือหุ้น โจทก์ไม่ได้ให้ลูกค้าของโจทก์หรือบุคคลภายนอกกู้ยืมแต่อย่างใด การที่โจทก์ให้ผู้ถือหุ้นของโจทก์กู้ยืมเงินเป็นเรื่องโจทก์ให้สวัสดิการและสงเคราะห์แก่ผู้ถือหุ้นของโจทก์ อันเป็นเรื่องกิจการภายในของโจทก์โดยแท้ไม่มีลักษณะเป็นการประกอบกิจการค้ากับบุคคลภายนอก จึงถือไม่ได้ว่าเป็นกิจการของผู้ที่ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้แจ้งประเมินภาษีการค้าให้โจทก์ชำระภาษีการค้าและเบี้ยปรับเป็นเงินทั้งสิ้น ๙๒๙,๐๑๒.๓๗ บาท โดยอ้างว่าโจทก์กู้เงินธนาคารนำมาให้ผู้ถือหุ้นกู้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี ถือว่าโจทก์ดำเนินกิจการเยี่ยงธนาคาร จึงต้องนำรายรับจากดอกเบี้ยมาชำระภาษีการค้าตามประเภทการค้า ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากรพร้อมทั้งเบี้ยปรับ ๒ เท่า ของภาษีและเงินเพิ่มตามมาตรา ๘๙ ทวิ อีกร้อยละ ๑ ต่อเดือน โจทก์เห็นว่าการประเมินดังกล่าวไม่ถูกต้อง จึงอุทธรณ์ไปยังจำเลยที่ ๒ โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ซึ่งวินิจฉัยว่า การประเมินของจำเลยที่ ๑ ถูกต้องแล้ว แต่มีเหตุอันควรผ่อนผันจึงลดเบี้ยปรับลง โจทก์เห็นว่าการประเมินของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ไม่ถูกต้องเพราะวัตถุประสงค์ของโจทก์ เป็นการให้สวัสดิการและสงเคราะห์แก่ผู้ถือหุ้น ทั้งดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกจากผู้กู้ก็ไม่ได้สูงกว่าที่โจทก์เสียให้แก่ธนาคารเสมอไป บางครั้งก็เท่ากับธนาคาร บางครั้งก็ต่ำกว่าโดยถือเป็นการสงเคราะห์พิเศษ จึงเห็นว่าการที่โจทก์สงเคราะห์หรือให้สวัสดิการแก่ผู้ถือหุ้นไม่ใช่เป็นการประกอบการค้าเยี่ยงธนาคาร ขอให้ศาลพิพากษากลับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และยกการประเมินของจำเลยที่ ๑ และสั่งให้โจทก์ปลอดจากการชำระภาษีการค้าดังกล่าวด้วย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การร่วมกันว่า จำเลยที่ ๑ พบว่าระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๙ โจทก์มีรายรับจากดอกเบี้ยเงินกู้โดยโจทก์กู้เงินจากธนาคารแล้วนำมาให้ผู้ถือหุ้นของโจทก์กู้ซึ่งเป็นการทำตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ตามที่ปรากฏในหนังสือบริคณห์สนธิข้อ ๔(๒) (๗) (๙) และโจทก์ได้รับดอกเบี้ยจากผู้กู้สูงกว่าที่โจทก์จ่ายดอกเบี้ยแก่ธนาคาร ในการที่โจทก์ให้ผู้ถือหุ้นกู้เงินโจทก์ได้กระทำเป็นเวลาหลายปีและผู้กู้ต้องทำสัญญากู้และมีผู้ค้ำประกันหรือจำนองอสังหาริมทรัพย์ต่อโจทก์ ถือได้ว่าการดำเนินการของโจทก์เป็นการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ตามประเภทการค้า ๑๒ แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าร้อยละ ๒.๕ ของรายรับ แต่โจทก์ไม่นำรายรับมาชำระภาษีการค้า จำเลยที่ ๑ จึงได้ประเมินภาษีการค้าให้โจทก์ชำระตามฟ้อง การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ลดเบี้ยปรับลงนับว่าได้ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์มากแล้ว กับตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เพราะไม่ใช่บุคคลตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้าของจำเลยที่ ๑ และเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงแห่งคดีนี้ปรากฏว่าบริษัทโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าในการให้กู้ยืมเงิน การที่โจทก์ให้ผู้ถือหุ้นของโจทก์กู้ยืมเงินเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อ ๔(๙) ว่า ให้สวัสดิการและสงเคราะห์แก่ผู้ถือหุ้นและเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบการสงเคราะห์ผู้ถือหุ้นของโจทก์ พ.ศ. ๒๕๑๔ ทุกประการ โจทก์ไม่ได้ให้ลูกค้าของโจทก์หรือบุคคลภายนอกกู้ยืมเงินแต่อย่างใด ศาลฎีกาจึงเห็นว่าการที่โจทก์ให้ผู้ถือหุ้นของโจทก์กู้ยืมเงินเป็นเรื่องโจทก์ให้สวัสดิการและสงเคราะห์แก่ผู้ถือหุ้นของโจทก์ อันเป็นเรื่องกิจการภายในของโจทก์โดยแท้ ไม่มีลักษณะเป็นการประกอบกิจการค้ากับบุคคลภายนอกแต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าเป็นกิจการของผู้ที่ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์
พิพากษายืน