คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนศาลแพ่งได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินรายพิพาทมาจากนายพงษ์และนางถวิล สังข์เลี้ยง โดยสุจริต และจดทะเบียนสิทธิแล้วและต่อมายกให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินรายพิพาทโดยชอบโจทก์ไม่อาจยกการได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองซึ่งมิได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขึ้นต่อสู้ โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านประการใด คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ ซึ่งเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณามิให้โต้เถียงเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145ส่วนโจทก์ร่วมนั้นในระหว่างที่โจทก์กับจำเลยที่ 2 พิพาทกันในคดีก่อน โจทก์ร่วมยังเป็นภริยาของโจทก์อยู่ ถึงแม้โจทก์ร่วมจะได้ร่วมกับโจทก์ครอบครองที่ดินรายพิพาทมา ที่ดินรายพิพาทก็เป็นสินสมรสซึ่งโจทก์ในฐานะสามีมีอำนาจจัดการ การที่โจทก์เข้าต่อสู้คดีเกี่ยวกับที่ดินรายพิพาทย่อมเป็นการกระทำแทนโจทก์ร่วมด้วย คำพิพากษาในคดีก่อนจึงผูกพันโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ดุจเดียวกัน ดังนั้นโจทก์และโจทก์ร่วมจะฟ้องคดีใหม่ว่า จำเลยที่ 1 มิได้ซื้อที่ดินและจำเลยที่ 2 ไม่ได้กรรมสิทธิ์อันเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาในคดีก่อนหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 22938 ได้มาโดยนายพงษ์และนางถวิล สังข์เลี้ยง ยกให้ตั้งแต่ พ.ศ. 2501 และครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม2512 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายศุภชัย ได้สมคบกันปลอมลายมือชื่อของนายพงษ์ลงในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจแล้ว กรอกข้อความลงในแบบพิมพ์ดังกล่าวว่านายพงษ์มอบอำนาจให้นายศุภชัยเป็นผู้จัดการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 22938ให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2512 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายศุภชัยได้สมคบกับจำเลยที่ 5 นำใบมอบอำนาจปลอมดังกล่าวแล้วไปยื่นจัดการขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 5 ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้เป็นของจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริตและไม่เสียค่าตอบแทน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2โดยจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์โดยชอบ และได้รับมาโดยไม่สุจริต การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งอยู่ในฐานะที่จดทะเบียนสิทธิได้ก่อนต้องได้รับความเสียหาย ซึ่งจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน โจทก์เพิ่งทราบการกระทำของจำเลยดังกล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2520 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่าง นายพงษ์ นางถวิล สังข์เลี้ยงกับจำเลยที่ 1 และเพิกถอนการให้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ถ้าไม่สามารถเพิกถอนการโอนได้ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกใช้ราคาที่ดิน

จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ที่ดินพิพาทมาโดยนายพงษ์ นางถวิล สังข์เลี้ยง ยกให้ ทั้งไม่ได้ครอบครองด้วย โจทก์เพียงแต่ขอปลูกเรือนอยู่อาศัยเท่านั้น จำเลยที่ 1 ไม่ได้ปลอมลายมือชื่อนายพงษ์ในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่ดินรายพิพาทตกเป็นของนายพงษ์โดยสัญญาหย่าและแบ่งทรัพย์ระหว่างนายพงษ์และนางถวิล เมื่อที่ดินตกเป็นของนายพงษ์แล้ว นายพงษ์ได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 และจดทะเบียนการซื้อขายต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยถูกต้องตามกฎหมายและโดยสุจริต ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นของจำเลยที่ 1 โดยชอบด้วยกฎหมาย หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้แจ้งให้โจทก์รื้อถอนโรงเรือนออกไป โจทก์ขอร้องอยู่ต่อ จำเลยที่ 1 สงสาร จึงอนุญาตให้โจทก์อยู่ต่อไป แต่ขอให้โจทก์หาที่อยู่ใหม่โดยเร็ว เมื่อได้แล้วจำเลยที่ 1 จะให้เงินค่าขนย้ายตามสมควร โจทก์ได้ทำหนังสือรับรองให้จำเลยที่ 1 ไว้ว่าโจทก์เป็นผู้อาศัย ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะยกที่ดินรายพิพาทให้จำเลยที่ 2 โจทก์ได้มาขอรับเงินค่าขนย้ายจากจำเลยที่ 1เมื่อจำเลยที่ 1 ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 1 ได้พาจำเลยที่ 2ไปพบโจทก์และแจ้งให้ทราบว่าจำเลยที่ 2 จะปลูกบ้าน โจทก์รับว่าจะขนย้ายออกไปโดยเร็ว แต่ในที่สุดก็ไม่ย้าย จำเลยที่ 2 จึงฟ้องขับไล่ ศาลแพ่งพิพากษาขับไล่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว

จำเลยที่ 2 ให้การว่า นายพงษ์ นางถวิล สังข์เลี้ยงไม่ได้ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์และโจทก์ไม่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ที่ดินพิพาทเป็นของนายพงษ์และนายพงษ์ได้ขายให้จำเลยที่ 1 สิทธิของโจทก์ยังไม่จดทะเบียนจะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกว่าได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิแล้วหาได้ไม่ จำเลยที่ 2 ไม่ได้สมคบกับจำเลยที่ 1 ปลอมลายมือชื่อนายพงษ์เมื่อจำเลยที่ 1 ยกที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 2 ได้บอกกล่าวให้โจทก์รื้อถอนโรงเรือนออกไป โจทก์ไม่โต้แย้งสิทธิเพียงแต่ขอผัดผ่อน แต่แล้วก็ไม่ออกไปจำเลยที่ 2 จึงฟ้องขับไล่ ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12773/2520 หลังจากศาลแพ่งพิพากษาคดีดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ ซึ่งประเด็นข้อพิพาทเป็นประเด็นเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3, 4 และ 6 ให้การร่วมกันว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่ไปตามลำดับขั้นตอนและระเบียบแบบแผนของทางราชการที่วางไว้โดยชอบด้วยกฎหมายทุกประการขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 5 ให้การว่า ไม่ได้สมคบกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายศุภชัยปลอมหนังสือมอบอำนาจของนายพงษ์ จำเลยที่ 5 ได้จดทะเบียนการขายกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามระเบียบและกฎหมายโดยสุจริต คดีโจทก์ขาดอายุความ

ระหว่างพิจารณา นางเพ็ญศรี แสงเดือนเด่น โดยนายพีระพล บุญปราการผู้รับมอบอำนาจขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และยกคำร้องของโจทก์ร่วม

โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ประเด็นที่ว่าโจทก์ร่วมมีสิทธิขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือไม่ เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตั้งแต่เมื่อจะสั่งรับฟ้อง ไม่ใช่ประเด็นที่จะยกขึ้นวินิจฉัยเมื่อตอนพิพากษาคดี เมื่อศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้วจึงเป็นอันยุติ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วม

โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในคดีก่อนศาลแพ่งได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1ซื้อที่ดินรายพิพาทมาจากนายพงษ์ นางถวิล สังข์เลี้ยง โดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิแล้ว และต่อมายกให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินรายพิพาทโดยชอบ โจทก์ไม่อาจยกการได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองซึ่งมิได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขึ้นต่อสู้ โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านประการใด คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณามิให้โต้เถียงเป็นอย่างอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ส่วนโจทก์ร่วมนั้น ในระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 พิพาทกันในคดีก่อนโจทก์ร่วมยังเป็นภริยาของโจทก์อยู่ ถึงแม้โจทก์ร่วมจะได้ร่วมกับโจทก์ครอบครองที่ดินรายพิพาทมา ที่ดินรายพิพาทก็เป็นสินสมรสซึ่งโจทก์ในฐานะสามีมีอำนาจจัดการ การที่โจทก์เข้าต่อสู้คดีเกี่ยวกับที่ดินรายพิพาทย่อมเป็นการกระทำแทนโจทก์ร่วมด้วย คำพิพากษาคดีก่อนจึงผูกพันโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ดุจเดียวกัน ดังนั้นโจทก์และโจทก์ร่วมจะฟ้องคดีใหม่ว่าจำเลยที่ 1 มิได้ซื้อที่ดินรายพิพาท และจำเลยที่ 2 ไม่ได้กรรมสิทธิ์อันเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาในคดีก่อนหาได้ไม่

พิพากษายืน

Share