คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2330/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าพนักงานประจำโรงพยาบาล มีหน้าที่จัดซื้อจัดการซ่อมแซม และดูแลรักษาพัสดุครุภัณฑ์และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เกี่ยวกับด้านการเงินด้วย จำเลยได้ลงชื่อคู่กับผู้อำนวยการโรงพยาบาลในฐานะเจ้าของบัญชีและผู้มอบฉันทะในแบบถอนเงินจำนวน14,000 บาท จากบัญชีเงินบำรุงโรงพยาบาลพรหมพิรามมาสำรองจ่ายค่าพัสดุครุภัณฑ์ ซึ่งจำเลยมีหน้าที่จัดซื้อแล้วมอบให้ ส. นำไปถอนเงินจำนวนดังกล่าวจากธนาคารมาให้ตน จำเลยได้รับแล้วมิได้จัดซื้อพัสดุครุภัณฑ์แต่อย่างใด และปรากฏว่าเงินจำนวนนี้ได้ขาดหายไปจากบัญชี การกระทำของจำเลยเป็นการเบียดบังเงินจำนวน 14,000บาท ที่อยู่ในความครอบครองตามหน้าที่ของตนไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวซึ่งเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151,157 ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 14,000 บาท แก่เจ้าของทรัพย์และนับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ให้ลงโทษจำคุก 7 ปี ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 14,000 บาท แก่เจ้าของทรัพย์ ข้อหาอื่นให้ยกเสีย ส่วนคำขอให้นับโทษต่อจากคดีอาญาของศาลชั้นต้น ปรากฏว่าศาลพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าวจึงให้ยกคำขอส่วนนี้ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ในขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ 3 โรงพยาบาลพรหมพิรามสังกัดสำนักงานสาธารณสุข จังหวัดพิษณุโลก สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่จัดซื้อ จัดการ ซ่อมแซม และดูแลรักษาพัสดุครุภัณฑ์และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เกี่ยวกับด้านการเงินด้วยได้ลงลายมือชื่อคู่กับนายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพรหมพิรามในฐานะเจ้าของบัญชีและผู้มอบฉันทะในแบบถอนเงินจากบัญชีบำรุงโรงพยาบาลพรหมพิราม มาสำรองจ่ายค่าพัสดุครุภัณฑ์ซึ่งจำเลยมีหน้าที่จัดซื้อ แล้วจำเลยได้มอบให้พลตำรวจสุธรรมบุตรจันทร์ นำไปถอนเงินจำนวน 14,000 บาท จากธนาคารมาให้ตนจำเลยได้รับเงินจำนวน 14,000 บาท จากพลตำรวจสุธรรมมาแล้วมิได้จัดซื้อพัสดุครุภัณฑ์แต่อย่างใด แต่ปรากฏว่าเงินจำนวนดังกล่าวได้ขาดหายไปจากบัญชี การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเบียดบังเงินจำนวน 14,000 บาทที่อยู่ในความครอบครองตามหน้าที่ของตนไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว พยานจำเลยมีตัวจำเลยปากเดียวเบิกความลอย ๆ ว่า จำเลยมิได้เบียดบังเงินจำนวนดังกล่าว เงินจำนวนดังกล่าวจะจ่ายเป็นค่าซื้อวัสดุอะไรจำเลยไม่ทราบ จำเลยไม่มีพยานอื่นมาสนับสนุน คำเบิกความของจำเลยจึงเลื่อนลอย ไม่มีเหตุผลรับฟัง พยานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พยานจำเลยที่นำสืบไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้
พิพากษายืน.

Share