แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ใช้เส้นทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางผ่านไปมาระหว่างบ้านของโจทก์และที่นาของโจทก์ในช่วงฤดูทำนาปีละ2ช่วงคือเพื่อไถหว่านข้าวและปลูกข้าวก่อนที่จำเลยจะปลูกข้าวในที่พิพาทช่วงหนึ่งและเพื่อเก็บเกี่ยวขนข้าวในนากลับบ้านหลังจากจำเลยเก็บเกี่ยวข้าวในนาของจำเลยแปลงที่พิพาทพาดผ่านเสร็จแล้วอีกช่วงหนึ่งและปฏิบัติเช่นนี้มาเกินกว่าสิบปีโดยลักษณะที่เป็นปรปักษ์ต่อสิทธิของจำเลยทางพิพาทในที่ดินของจำเลยจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 58 จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 29/37 อยู่ติดต่อทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินโจทก์ โจทก์ใช้เส้นทางในที่ดินของจำเลยด้านริมรั้วกว้าง 5 เมตร จากด้านทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกยาวตลอดแนว เพื่อเป็นทางเข้าออกไปทำนาในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 59 ของโจทก์อีกแปลงหนึ่งประมาณ20 ปีแล้ว จำเลยขุดดินบริเวณทางที่โจทก์ใช้และทำรั้วปิดไม่ให้โจทก์ใช้ทางขอให้บังคับจำเลยระงับการขุดดิน และเปิดรั้วกว้าง5 เมตร ให้โจทก์ใช้เป็นทางเข้าออกตามปกติในฤดูทำนา กับให้จำเลยจดทะเบียนทางดังกล่าวเป็นภาระจำยอมให้โจทก์ใช้เฉพาะฤดูทำนาหากไม่ยอมจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ระหว่างที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 58 และ 59 มีที่ดินของจำเลยและที่ดินแปลงอื่นคั่นอยู่อีก 2 แปลง ไม่มีทางเดินผ่านที่ดินของจำเลย สำหรับโจทก์มีเส้นทางที่ใช้ขนข้าวเปลือกกลับบ้าน 4 ถึง5 ทาง โจทก์ขนข้าวเปลือกผ่านที่ดินของจำเลยเป็นบางครั้ง จำเลยขุดดินในที่ดินของจำเลยเพื่อเป็นทางระบายน้ำและทำรั้วเพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงเข้าไปทำความเสียหายในที่ดินของจำเลย ไม่ได้ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 58 เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ซึ่งใช้เป็นที่ปลูกบ้าน ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 และเลขที่ 59 เนื้อที่ประมาณ 70 ไร่ ใช้เป็นที่ทำนา ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2 ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 29/37 เนื้อที่10 ไร่ ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งตั้งอยู่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์แปลงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 58ทางด้านทิศตะวันตกระหว่างที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงดังกล่าวนอกจากมีที่ดินของจำเลยคั่นอยู่แล้วยังมีที่ดินของนางมานิจและที่ดินของนายอารมณ์คั่นอยู่ด้วย โจทก์เคยใช้รถที่ใช้งานเพื่อเกษตรกรรม (รถอีแต๋น) บรรทุกพันธุ์ข้าวจากบ้านโจทก์ผ่านที่นาของจำเลยที่นาของนางมานิจและที่นาของนายอารมณ์ไปยังที่นาของโจทก์ และเคยขนข้าวเปลือกจากที่นาของโจทก์ผ่านที่นาของจำเลยไปยังบ้านโจทก์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย น่าเชื่อว่าโจทก์ใช้เส้นทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางผ่านไปมาระหว่างบ้านของโจทก์และที่นาของโจทก์ในช่วงฤดูทำนาปีละ 2 ช่วง คือ เพื่อไถหว่าน ปลูกข้าว ก่อนที่จำเลยจะปลูกข้าวในทางพิพาทช่วงหนึ่งและเพื่อเก็บเกี่ยวขนข้าวในนากลับบ้าน หลังจากจำเลยเก็บเกี่ยวข้าวในนาของจำเลยแปลงที่ทางพิพาทพาดผ่านเสร็จแล้วและปฏิบัติเช่นนี้มาเกินกว่าสิบปีโดยลักษณะที่เป็นปรปักษ์ต่อสิทธิของจำเลย ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์แต่ข้อที่โจทก์กล่าวอ้างว่าทางพิพาทดังกล่าวมีความกว้าง 5 เมตรนั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทในลักษณะอย่างไรจึงมีความกว้าง 5 เมตร ส่วนจำเลยเบิกความว่ารถที่ใช้ในการเกษตรของโจทก์ที่นำมาแล่นผ่านที่ดินของจำเลยนั้นมีความกว้างประมาณ2 เมตร และยาวประมาณ 5 เมตร ดังนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดความกว้างของทางภาระจำยอมในที่ดินของจำเลยที่โจทก์จะใช้ได้ให้มีความกว้าง 2.50 เมตร
พิพากษากลับ ให้จำเลยเปิดทางภาระจำยอมในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 29/37 ให้มีความกว้าง2.50 เมตร พร้อมทั้งเปิดรั้วด้านที่มีติดต่อกับที่ดินโจทก์ให้มีความกว้าง 2.50 เมตร เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์เฉพาะในฤดูกาลทำนาในการผ่านไปมาเพื่อไถ หว่าน ปลูกข้าวในที่นาของโจทก์ก่อนที่จำเลยจะปลูกข้าวลงในทางภาระจำยอมช่วงหนึ่ง และเพื่อเก็บเกี่ยวข้าวในนาของโจทก์และขนกลับมาเก็บยังบ้านโจทก์ในช่วงเวลาหลังจากที่จำเลยเก็บเกี่ยวข้าวในนาของจำเลยแปลงที่ทางภาระจำยอมพาดผ่านเสร็จแล้วอีกช่วงหนึ่ง ให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมดังกล่าวแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย