แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
แม้คำให้การชั้นสอบสวนของพยานจะเป็นเพียงพยานบอกเล่าก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังเสียเลย การที่จะรับฟังพยานบอกเล่าได้หรือไม่เพียงใดนั้น ย่อมสุดแล้วแต่เหตุผลเป็นเรื่อง ๆ ไป คำให้การชั้นสอบสวนของพยานจึงรับฟังในฐานะพยานประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371,91, 32, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72,72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่21 ตุลาคม 2519 ริบกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลาง ส่วนอาวุธปืนของกลางคืนแก่เจ้าของ จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีและพาอาวุธปืนแต่ปฏิเสธข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 3, 6, 7 เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน จำคุก1 ปี ฐานพาอาวุธปืนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษบทหนักตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีและพาอาวุธปืนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วย มาตรา 53 คงลงโทษฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืน จำคุก3 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 33 ปี 4 เดือน รวม 3 กระทงจำคุก 34 ปี 1 เดือน ริบกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลาง คืนอาวุธปืนของกลางแก่เจ้าของ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ว่าคดีนี้โจทก์ไม่ได้ตัวนางสาวบัวผัด แก้วระกา นางสาวเทียมจันทร์ วิดิสา และนายสวาท ไชยสิงห์ผู้รู้เห็นเหตุการณ์มาเบิกความเนื่องจากตามหาตัวไม่พบก็ตาม แต่โจทก์ก็อ้างคำให้การชั้นสอบสวนของคนทั้งสามมาเป็นพยาน ซึ่งโจทก์มีร้อยตำรวจตรีสุรพงษ์ เหมือนเผ่าพงษ์ พนักงานสอบสวนผู้สอบปากคำคนทั้งสามมาเบิกความยืนยันประกอบคำให้การของคนทั้งสามตามเอกสารหมาย จ.24 ถึง จ.26 โดยนางสาวบัวผัดให้การว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 4 นาฬิกา ผู้ตายพูดคุยกับนางสาวบัวผัดในร้านที่เกิดเหตุ จำเลยได้ท้าทายผู้ตาย ขณะผู้ตายเดินตามจำเลยจะออกจากร้านนางสาวบัวผัดเห็นจำเลยชักอาวุธปืนออกจากเอวจึงบอกให้ผู้ตายทราบผู้ตายบอกให้นางสาวบัวผัดกับพวกหลบ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย3 นัด แล้วจำเลยได้หลบหนีไปนางสาวเทียมจันทร์ให้การว่า เห็นจำเลยกับผู้ตายโต้เถียงกันประมาณ 30 นาที แล้วจำเลยจับแขนผู้ตายท้าผู้ตายให้ออกไปชกต่อยกันที่หน้าร้าน จากนั้นจำเลยก็เดินออกไปรอที่หน้าร้าน ผู้ตายเดินออกไปไม่ทันพ้นประตู จำเลยก็ชักอาวุธปืนยิงใส่ผู้ตายบริเวณหน้าอก รวม 3 นัด ในระยะห่างประมาณ 1 วาผู้ตายวิ่งหนีเข้ามาในร้านได้ 3-4 ก้าว ก็ล้มลงแล้วจำเลยก็หลบหนีไปนายสวาทให้การว่า จำเลยมีปากเสียงกับผู้ตายในร้านที่เกิดเหตุและจำเลยได้ท้าทายผู้ตายชกต่อยกัน นายสวาทเห็นจำเลยชักอาวุธปืนออกมาจากเอว นายหวังเพื่อนที่มากับจำเลยได้ห้ามจำเลยให้เก็บอาวุธปืนไว้ นายสวาทคิดว่าคงไม่มีเรื่องราวกันแล้วจึงเดินออกจากร้านไปที่ซอยโรงก๋วยเตี๋ยวซึ่งอยู่ข้างร้าน ขณะที่นายสวาทกำลังยืนปัสสาวะอยู่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3 นัด จึงเดินมาบริเวณหน้าร้านนั้นอีก เห็นนายหวังและจำเลยเดินออกมาจากร้านโดยจำเลยถืออาวุธปืนกระบอกเดียวกับที่ชักออกมาจากเอว แล้วจำเลยกับนายหวังก็หลบหนีไป ศาลฎีกาเห็นว่านางสาวบัวผัดกับนางสาวเทียมจันทร์เป็นพนักงานเสิร์ฟ ส่วนนายสวาทเป็นผู้ช่วยดูแลร้านที่เกิดเหตุ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนเกิดเหตุโดยเฉพาะนางสาวบัวผัดและนางสาวเทียมจันทร์ให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุนั้นเอง ไม่มีโอกาสที่จะปั้นแต่งเรื่องขึ้นได้ จึงเชื่อว่าคนทั้งสามให้การในชั้นสอบสวนไปตามความจริงโดยมิได้ปรักปรำจำเลย แม้ว่านายสวาทจะให้การแตกต่างไปจากนางสาวบัวผัดและนางสาวเทียมจันทร์บ้าง ในข้อที่ว่ามีพวกของจำเลยอีกคนหนึ่งมาเกี่ยวข้องห้ามปรามจำเลยก่อนเกิดเหตุ แต่ก็หาใช่ข้อสาระสำคัญถึงกับจะทำให้คำให้การของคนทั้งสามรับฟังไม่ได้จริงอยู่คำให้การชั้นสอบสวนของคนทั้งสามเป็นเพียงพยานบอกเล่าแต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังเสียเลย การที่จะรับฟังพยานบอกเล่าได้หรือไม่เพียงใดนั้นย่อมสุดแล้วแต่เหตุผลเป็นเรื่อง ๆ ไป คำให้การชั้นสอบสวนของพยานจึงรับฟังในฐานะพยานประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ ยิ่งกว่านั้นหลังจากเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ในวันเกิดเหตุนั้นเอง ได้จัดให้คนทั้งสามผลัดกันทำการชี้ตัวคนร้ายโดยให้จำเลยยืนปะปนกับบุคคลอื่นอีกหลายคน คนทั้งสามยังชี้ตัวจำเลยยืนยันว่าเป็นคนร้ายรายนี้ ปรากฏตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.28, จ.33 และภาพถ่ายการชี้ตัวหมาย จ.29 ถึง จ.32ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้พร้อมอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 7 นาฬิกาซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากเกิดเหตุเพียงประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้นและจำเลยก็รับสารภาพว่ามีและพาอาวุธปืนของกลางโดยผิดกฎหมายจริงนอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจตรีจรูญ งดงาม ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ มาเบิกความประกอบรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลางเอกสารหมาย จ.4 ว่า ได้ตรวจเขม่าดินปืนภายในลำกล้องปืนของกลาง เชื่อได้ว่าได้ใช้ยิงมาแล้วภายหลังการเช็ดล้างครั้งสุดท้าย ลูก (หัว)กระสุนปืนของกลางที่ได้จากที่เกิดเหตุและจากที่ฝังอยู่ในร่างกายของผู้ตายเป็นลูกกระสุนปืนรีวอลเลอร์ชนิดทองแดงหุ้มตะกั่วขนาดประมาณ .38 เมื่อเปรียบเทียบกับลูกกระสุนปืนที่ใช้ยิงจากอาวุธปืนของกลางแล้วปรากฏว่ามีตำหนิรอยลายเส้นที่ร่องเกลียวและสันเกลียวตรงกันและเข้ารอยกันได้จึงเชื่อว่าลูกกระสุนปืนของกลางทั้งสองลูกนี้ใช้ยิงมาจากอาวุธปืนของกลาง ทั้งพยานปากนี้ยังเบิกความต่อไปว่า แม้อาวุธปืนของกลางจะเป็นขนาดลำกล้อง .357 ก็ตาม แต่ก็สามารถยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .38 ได้ เนื่องจากกระสุนปืนทั้งสองขนาดนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางใกล้เคียงกันมาก กล่าวคือ ขนาด .38 จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางจริงเพียง .358 นิ้ว จึงสามารถใส่เข้าไปในอาวุธปืนขนาด .357 แมกนั่มและยิงได้ พยานปากนี้เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญมีหน้าที่ในการตรวจพิสูจน์เกี่ยวกับอาวุธปืน ฯลฯ และปฏิบัติการไปตามหน้าที่ ไม่รู้จักหรือมีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด ดังนั้น รายงานผลการตรวจพิสูจน์ของกลางดังกล่าวและคำเบิกความของพยานปากนี้จึงมีน้ำหนักรับฟัง รูปคดีฟังได้ว่า หัวกระสุนปืนของกลางที่พบในที่เกิดเหตุและที่ผ่าออกมาจากร่างกายของผู้ตายใช้ยิงมาจากอาวุธปืนของกลางที่จำเลยครอบครองอยู่ยิ่งกว่านี้เจ้าพนักงานตำรวจยังได้ยึดรถจักรยานยนต์ของจำเลยซึ่งทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุอีกด้วย ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยออกจากร้านที่เกิดเหตุไปค้างคืนที่บ้านนายจุนลุงของจำเลยก่อนเกิดเหตุและให้นายพลยืมรถจักรยานยนต์ของจำเลยไปโดยนายพลจะนำมาคืนในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่นายพลไม่นำมาคืนนั้น จำเลยหาได้นำนายพลมาเบิกความให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ ทั้งไม่นำสืบว่าเหตุใดรถจักรยานยนต์ของจำเลยจึงไปอยู่ที่ร้านที่เกิดเหตุอีกข้อนำสืบของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังพยานแวดล้อมกรณีของโจทก์คำรับของจำเลยและผลของการพิสูจน์วัตถุพยาน เมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับคำให้การชั้นสอบสวนของนางสาวบัวผัด นางสาวเทียมจันทร์ และนายสวาทแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วย พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้”
พิพากษายืน