แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่คดีถึงที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 สำหรับคดีนี้เป็นคดีที่อาจขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้เนื่องจากจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาและศาลมีคำพิพากษาให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 207 (เดิม) คดีย่อมถึงที่สุดเมื่อระยะเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้สิ้นสุดลงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคหนึ่ง (เดิม) ประกอบมาตรา 147 วรรคสอง ข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสอง โดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2540 และวันที่ 16 พฤศจิกายน 2540 ตามลำดับจำเลยทั้งสองไม่ได้ขอให้พิจารณาคดีใหม่ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 จึงถึงที่สุดตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 15 ธันวาคม 2540 และสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 16 ธันวาคม 2540 โจทก์แถลงขอให้บังคับยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2550 จึงยังไม่พ้น 10 ปี นับแต่คดีนี้ถึงที่สุด
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2540 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา โจทก์ยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับ ศาลชั้นต้นจึงออกคำบังคับและส่งคำบังคับให้จำเลยทั้งสองโดยวิธีปิดคำบังคับ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีในวันที่ 25 กรกฎาคม 2544 ต่อมาวันที่ 26 พฤษภาคม 2548 บริษัท เค.เอ.สยาม แอสเซ็ทส์ จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
วันที่ 19 ตุลาคม 2550 โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 โจทก์แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 48639 ตำบลคูคต อำเภอคูดต จังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้งดการยึดทรัพย์ดังกล่าวไว้ โดยเห็นว่าพ้นระยะเวลาการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แล้ว ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งว่าการบังคับคดีของโจทก์ยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลาบังคับคดีตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2540 โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่อุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดนับแต่วันถัดจากวันที่ 25 กรกฎาคม 2540 โจทก์ขอให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ในวันที่ 28 กันยายน 2550 พ้นกำหนดระยะเวลาบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 จึงให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ร้องขอให้บังคับคดีเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 หรือไม่ เห็นว่า เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด สำหรับคดีนี้เป็นคดีที่อาจขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ เนื่องจากจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาและศาลมีคำพิพากษาให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 (เดิม) คดีจึงย่อมถึงที่สุดเมื่อระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง (เดิม) ซึ่งเป็นระยะเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้สิ้นสุดลง ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 1 โดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2540 และส่งให้จำเลยที่ 2 โดยวิธีปิดคำบังคับเช่นเดียวกันเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2540 จำเลยทั้งสองไม่ได้ขอให้พิจารณาคดีใหม่ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 จึงถึงที่สุดตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 15 ธันวาคม 2540 และสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 16 ธันวาคม 2540 โจทก์แถลงขอให้บังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 จึงยังไม่พ้น 10 ปี นับแต่วันที่คดีนี้ถึงที่สุด ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลในชั้นนี้ให้เป็นพับ