คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2326/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงหาว่ายักยอกทรัพย์ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นชี้ขาด แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงควรฟังเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่มิได้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเสียเองแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ฟังใหม่นั้นโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นได้ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงพระนครเหนือ หาว่าจำเลยได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้ทวงหนี้เงินตามเช็ค ๒๑,๐๐๐ บาท จำเลยทวงได้ ๒,๐๐๐ บาท แล้วยักยอกไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ และ ๓๕๓
จำเลยต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและจำเลยไม่ได้กระทำผิด
ศาลแขวงพระนครเหนือพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีมาฟ้องจำเลยในคดีนี้ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและวินิจฉัยอีกว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องข้อแตกต่างเป็นข้อสารสำคัญ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้อง และว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้องเพียงรายละเอียดมิใช่ข้อสารสำคัญ ทั้งจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ ที่สุดศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์มอบหมายให้ภรรยาโจทก์ไปว่าจ้างจำเลยดำเนินการทวงหนี้แทนโจทก์โดยมิได้กำหนดจำนวนค่าจ้างกันไว้ให้แน่นอน แต่เป็นที่เข้าใจกันว่ามีการคิดค่าจ้างกันได้ตามธรรมเนียม และฟังว่า จำเลยได้ปฏิบัติการในทางการจ้างสำเร็จแล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างจำนวน ๔,๑๕๐ บาท ฉะนั้น การที่จำเลยหักเงินที่ทวงหนี้มาได้ ๒,๐๐๐ บาทไว้เป็นการชำระค่าจ้างบางส่วน ก็เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยขาดเจตนาทุจริต ไม่ต้องรับผิดทางอาญา พิพากษายืนในผลที่ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อสุดท้ายซึ่งเป็นข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานโจทก์จำเลยแล้ว เห็นว่า โจทก์ได้มอบให้ภรรยาโจทก์มาว่าจ้างจำเลยทวงหนี้ตามเช็คจากลูกหนี้โจทก์ จำนวนเงินตามเช็ค ๒๑,๐๐๐ บาท โดยโจทก์ยินยอมออกค่าใช้จ่ายในการทวงหนี้และให้ค่าจ้างตามธรรมเนียม
ต่อมาจำเลยได้ไปทวงหนี้จากลูกหนี้ได้เงินสดมา ๒,๐๐๐ บาท และเปลี่ยนเป็นเช็คฉบับใหม่ จำนวนเงิน ๑๙,๐๐๐ บาท ปัญหาว่าจำเลยยักยอกเงิน ๒,๐๐๐ บาท หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเชื่อว่าภรรยาโจทก์ได้ยอมให้จำเลยหักเงินดังกล่าวไว้เป็นค่าจ้างในการทวงหนี้รายนี้บางส่วนเมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่า โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยจริง และภรรยาโจทก์ยอมให้จำเลยหักไว้เป็นค่าจ้างบางส่วน ตามข้อต่อสู้ของจำเลย หาใช่จำเลยยักยอกเงินจำนวนนี้ไปไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share