คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องโดยวิธีปิดหมายและสำเนาฟ้อง ซึ่งศาลได้สั่งไว้แล้วตอนรับฟ้อง เป็นการส่งตามคำสั่งศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 76
ส่วนการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 นั้น เป็นเรื่องศาลมิได้มีคำสั่งกำหนดวิธีการส่งไว้ล่วงหน้า ต่อมาไม่สามารถส่งตามวิธีปกติได้ ศาลจึงมีคำสั่งกำหนดวิธีการส่งโดยวิธีการอื่นอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ขอให้จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดี ศาลฎีกาจะวินิจฉัยเสียเองโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก็ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินกู้และดอกเบี้ยแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นสั่งในคำฟ้องว่ารับฟ้อง หมายเรียก ในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยนั้น ถ้าไม่พบตัวจำเลยและไม่มีผู้ใดรับหมายแทน ก็ให้ปิดหมายและสำเนาฟ้องไว้ยังบ้านเรือนของจำเลย

ต่อมาวันที่ 23 ตุลาคม 2512 เจ้าพนักงานศาลพร้อมด้วยผู้แทนโจทก์ นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยที่บ้าน ไม่พบจำเลยสอบถามบุตรสาวของจำเลยได้ความว่าจำเลยไปธุระนอกบ้าน ไม่ทราบว่าจะกลับเมื่อใด และไม่ยอมรับหมายไว้แทน เจ้าพนักงานจึงปิดหมายเรียกและสำเนาฟ้องไว้ ณ บ้านเรือนของจำเลย

วันที่ 19 พฤศจิกายน 2512 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้สั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและนัดพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ นัดสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว

วันที่ 17 ธันวาคม 2512 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่จำต้องไต่สวน แล้วมีคำสั่งว่าคำร้องของจำเลยไม่มีเหตุสมควรที่จะให้จำเลยยื่นคำให้การ ให้ยกคำร้องของจำเลย จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งในวันเดียวกันนั้นและศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลย

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องนั้น เจ้าพนักงานศาลได้ทำการปิดหมาย ณ บ้านเรือนจำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 การส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยจึงไม่มีผลตามกฎหมาย และถือไม่ได้ว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องโดยชอบ พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยใหม่ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสองศาล ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งในคำพิพากษา

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ยื่นคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “รับฟ้อง หมายเรียก ในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยนั้น ถ้าไม่พบตัวจำเลยและไม่มีผู้ใดรับหมายแทน ก็ให้ปิดหมายและสำเนาคำฟ้องไว้ยังบ้านเรือนของจำเลยได้” ดังนี้ ศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจมีคำสั่งกำหนดวิธีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยไว้แล้ว ฉะนั้น การที่เจ้าพนักงานศาลได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยปิดหมาย จึงเป็นการส่งตามข้อความในคำสั่งของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 76 ถือได้ว่าการส่งหมายโดยวิธีปิดหมายดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายแล้ว

สำหรับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 ที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยศาลฎีกาเห็นว่า จะใช้บังคับในเมื่อศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งกำหนดวิธีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ในคำฟ้องล่วงหน้า กล่าวคือ ต้องส่งตามวิธีปกติเสียก่อน หากไม่พบจำเลยและไม่มีบุคคลใด ๆ ยอมรับหมายแทน ศาลอาจถือว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยตามวิธีปกติไม่สามารถจะทำได้ จึงจะมีคำสั่งกำหนดวิธีการส่งโดยวิธีอื่นอีกครั้งหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพราะเหตุนี้ ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ขอให้จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดี ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ไปเสียทีเดียว

ตามคำร้องของจำเลยอ้างเหตุต่าง ๆ เพื่อแสดงว่าจำเลยมิได้จงใจและมีเหตุอันสมควรประการอื่น แต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ สมควรที่ศาลชั้นต้นจะไต่สวนพยานเสียก่อนแล้วจึงมีคำสั่ง

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง โดยให้ศาลชั้นต้นไต่สวนตามคำร้องของจำเลย ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2512 แล้วมีคำสั่งใหม่และพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาล ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งและพิพากษาใหม

Share