คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พฤติการณ์ของร้านบริการอาบนวดที่ถือเป็นสถานการค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี มาตรา 4,

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้จัดการสถานการค้าประเวณีขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องลงโทษปรับ 800 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นแต่เจ้าของผู้ดูแลจัดการสถานที่อาบนวดเท่านั้น หาได้รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการที่หญิงนวดเหล่านั้นทำการค้าประเวณีเป็นส่วนตัวไม่ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 อนึ่ง ถึงหากจะฟังว่าจำเลยยินยอมให้หญิงนวดเหล่านั้นทำการค้าประเวณีเป็นปกติธุระในสถานที่บริการของจำเลยกรณีก็ต้องด้วยมาตรา 10 ซึ่งโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ จึงพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเปิดร้านบริการอาบนวดก็จริง แต่หญิงนวดในร้านจำเลยได้รับจ้างค้าประเวณีกับชายที่มานวดจนเป็นที่รู้กันทั่วไป มีพยานหลายคนยืนยันว่าได้ไปอาบนวดและได้ร่วมประเวณีกับหญิงนวดทุกครั้งบ้าง เกือบทุกครั้งบ้าง ขณะตำรวจไปจับกุมในคราวเกิดเหตุนี้ก็จับหญิงนวดขณะกำลังรับจ้างร่วมประเวณีอยู่กับชายได้ถึง 4 คน ดังนี้จำเลยจะเถียงว่าไม่รู้เรื่องและไม่เคยยินยอมให้หญิงนวดรับจ้างค้าประเวณีฟังไม่ขึ้น คดีฟังได้ว่าร้านบริการอาบนวดของจำเลยเป็นสถานการค้าประเวณีตามความในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 เมื่อจำเลยเป็นเจ้าของกิจการและผู้จัดการสถานการค้าประเวณีแห่งนี้ จำเลยก็ย่อมมีความผิดตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share