คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีอาญามิได้มีบทกฎหมายใดบัญญัติบังคับให้ศาลที่พิพากษาคดีต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลในคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งได้ชี้ขาดไว้มาเป็นหลักในการวินิจฉัย แม้คดีทั้งสองนั้นจะมีมูลกรณีเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันเอาความเท็จมาฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญา และเบิกความเท็จ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 177, 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์คงมีว่า การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ชี้ขาดคดีโดยมิได้นำเอาข้อเท็จจริงในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 13184/2518 ของศาลอาญาซึ่งศาลในคดีนั้นวินิจฉัยไว้ว่าเช็คที่โจทก์ทั้งสองออกให้จำเลยมิใช่เพื่อเป็นการชำระหนี้มาเป็นหลักวินิจฉัยคดีนี้เป็นคำพิพากษาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(5)(6)หรือไม่ พิเคราะห์เห็นว่า คดีอาญามิได้มีบทกฎหมายใดบัญญัติบังคับให้ศาลที่พิพากษาคดีต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลในคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งได้ชี้ขาดไว้มาเป็นหลักในการวินิจฉัย แม้คดีทั้งสองนั้นจะมีมูลกรณีเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกันเฉพาะคดีนี้นั้นแม้โจทก์จะได้อ้างคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 13184/2518 ของศาลอาญาที่ศาลในคดีนั้นได้วินิจฉัยคดีถึงที่สุดว่าโจทก์ทั้งสองมิได้ออกเช็คให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ดังที่จำเลยอ้างเป็นมูลฟ้องโจทก์ทั้งสองในคดีดังกล่าวเป็นพยานไว้ด้วยก็ดี แต่ศาลล่างทั้งสองในคดีนี้ก็ได้พิเคราะห์รูปคดีจากพยานหลักฐานทั้งหลายและกล่าวไว้ในคำพิพากษาชัดแจ้งว่า จำเลยมิได้มีเจตนากระทำผิดดังโจทก์ฟ้องอันเป็นคำวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุคนละอย่างต่างกันกับคดีก่อน คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ว่า คำชี้ขาดของศาลในข้อเท็จจริงในคดีก่อนต้องถือว่ายุติระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้น ส่วนคดีนี้ก็ชอบที่ศาลจะต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนนี้เป็นสำคัญ จะถือเอาข้อเท็จจริงซึ่งยุติในคดีก่อนมาผูกมัดให้ศาลวินิจฉัยคดีนี้ตามหาได้ไม่ จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(5)(6) แล้ว
พิพากษายืน

Share