คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2316/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4บัญญัติว่า “จำหน่าย” หมายความว่า ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยนให้ การมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเป็นความผิดทางอาญามีผลเฉพาะตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาที่พอจะถือว่าสามีภริยาเป็นบุคคลเดียวกันเป็นความสัมพันธ์เฉพาะในทางแพ่งเท่านั้น หากจำเลยซื้อกัญชาไว้เพื่อเสพเองแล้วย่อมเป็นความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง แต่การที่จำเลยซื้อกัญชาไว้เพื่อให้สามีเสพหรือเพื่อแบ่งให้ผู้อื่นย่อมถือว่าเป็นการมีไว้เพื่อจ่าย แจก หรือให้แก่บุคคลอื่นจึงเป็นความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีกัญชาแห้งอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จำนวน 49 ถุง น้ำหนัก 66.50 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 6, 7, 8, 76, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 ริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยแก้ไขคำให้การรับว่ามีกัญชาไว้ในครอบครองจริง แต่ปฏิเสธว่ามิได้มีไว้เพื่อจำหน่าย

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสองจำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก1 ปี 4 เดือน ริบของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง จำเลยมีกัญชาแห้งของกลางไว้ในครอบครองน้ำหนัก 66.50 กรัม โดยบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกขนาดเล็ก จำนวน 49 ถุงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยมีกัญชาของกลางดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ โจทก์มีจ่าสิบตำรวจประเวช สมศรี และจ่าสิบตำรวจบุญส่ง อ่อนเอื้อมิตร ผู้จับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความว่าเมื่อค้นตัวจำเลย จำเลยนำของที่ซ่อนไว้ที่เอวด้านหลังออกมาให้ดูเป็นถุงผ้าสีดำภายในมีกัญชาบรรจุในถุงพลาสติกขนาดเล็กจำนวน 49 ถุง จึงแจ้งข้อหาว่า จำเลยมียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยให้การรับสารภาพ ตามบันทึกการตรวจค้นจับกุมเอกสารหมาย จ.1พยานทั้งสองสอบถามจำเลยว่าได้กัญชามาอย่างไร จำเลยบอกว่ามีคนนำมาให้ และยังบอกว่ากัญชาจำนวนดังกล่าวมีไว้เพื่อให้สามีจำเลยเสพ และหากมีผู้มาขอซื้อจะแบ่งขายให้ จำเลยรับว่าเพิ่งจำหน่ายไปก่อนที่จะถูกจับ 1 ถุง เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากให้การสอดคล้องต้องกัน ทั้งตรงกับที่จำเลยให้การต่อพันตำรวจตรีสำราญ พิมพสุตพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.4พยานโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการตามหน้าที่เบิกความตรงไปตรงมาไม่มีข้อพิรุธ และจำเลยก็เบิกความยอมรับว่าได้ซื้อกัญชามาเพื่อให้สามีจำเลยเสพ หากมีผู้ใดขอจะแบ่งให้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยซื้อกัญชามาเพื่อให้สามีเสพและจะแบ่งให้ผู้อื่น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 บัญญัติว่า”จำหน่าย” หมายความว่า ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ การมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเป็นความผิดทางอาญามีผลเฉพาะตัวความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาที่พอจะถือว่าสามีภริยาเป็นบุคคลเดียวกันเป็นความสัมพันธ์เฉพาะในทางแพ่งเท่านั้น หากจำเลยซื้อกัญชาไว้เพื่อเสพเองแล้วย่อมเป็นความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองแต่การที่จำเลยซื้อกัญชาไว้เพื่อให้สามีเสพหรือเพื่อแบ่งให้ผู้อื่นย่อมถือว่าเป็นการมีไว้เพื่อจ่าย แจก หรือให้ แก่บุคคลอื่น จึงเป็นความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามความหมายแห่งบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share