คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2313/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.อ. มาตรา 92 นั้นผู้ที่จะถูกเพิ่มโทษได้จะต้องเป็นผู้ที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกและได้กระทำความผิดขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ เมื่อปรากฏว่าคดีก่อนศาลลงโทษจำคุกจำเลยแต่ให้รอการ ลงโทษไว้ จึงไม่มีวันพ้นโทษที่จะถือเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษเมื่อจำเลยมากระทำความผิดคดีนี้อีกได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92, 276, 277 ทวิ, 297 และเพิ่มโทษตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและไม่เพิ่มโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลเพิ่มโทษจำเลยตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 92 ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 นั้น ผู้ที่จะถูกเพิ่มโทษได้ต้องเป็น ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกและได้กระทำความผิดขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ซึ่งวันพ้นโทษก็คือพ้นโทษจำคุกในคดีก่อนนั่นเอง ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าคดีก่อนศาลลงโทษจำคุกจำเลยแต่ให้รอการ ลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามสำเนาภาพถ่ายคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ท้ายฎีกา ซึ่งโจทก์ได้รับสำเนาแล้ว ก็มิได้ แก้ฎีกาคัดค้านประการใด กรณีเช่นนี้จึงไม่มีวันพ้นโทษที่จะถือเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษได้ แม้ว่าจำเลยจะมาทำ ความผิดขึ้นอีกภายใน 5 ปี นับแต่วันครบกำหนดรอการลงโทษก็ตาม ก็เพิ่มโทษมิได้ ฉะนั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้เพิ่มโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 มานั้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลย ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิ่มโทษจำเลย จำเลยต้องโทษจำคุกรวม 9 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 4 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

Share