คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้นำยึดที่พิพาทมาชำระหนี้ ผู้ร้องขัดทรัพย์ร้องว่า ที่พิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องซื้อมาจากนายจืน ได้ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่พิพาทนี้นายจืนเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาคดีหนึ่งได้ซื้อมาจากการขายทอดตลาดแล้วขายต่อให้ผู้ร้อง ผู้ร้องซื้อไว้โดยสุจริต และเสียค่าตอบแทนเมื่อผู้ร้องร้องเช่นนี้ โจทก์จะต่อสู้ก็ต้องกล่าวให้ชัดเจนว่าผู้ร้องมิได้ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนแต่ตามคำให้การของโจทก์ไม่ปรากฏเลยว่าผู้ร้องได้รู้ถึงการที่นายจืนและจำเลยสมคบกันทำสัญญากู้ยืมขึ้นแล้วนำมาฟ้องร้องกัน ตลอดจนแกล้งยอมความกัน เพื่อเปิดโอกาสให้นายจืนยึดที่พิพาทออกขายทอดตลาด โจทก์เพียงแต่ไม่รับรองการซื้อขายระหว่างนายจืนกับผู้ร้องว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเหตุแห่งการกระทำของนายจืนและจำเลยเท่านั้นในเรื่องปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคสอง กำหนดให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเหมือนคดีธรรมดา โจทก์จึงต้องให้การโดยแจ้งชัดว่ายอมรับหรือปฏิเสธ รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งว่าผู้ร้องซื้อที่พิพาทจากนายจืนโดยไม่สุจริต จึงไม่มีประเด็นที่ต้องนำสืบ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ จำเลยไม่ชำระ โจทก์นำยึดที่บ้านเรือนและนา

ผู้ร้องร้องว่า ที่ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง ซื้อมาจากนายจืน ได้ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน ที่แปลงนี้นายจืนซื้อจากการขายทอดตลาดของศาลแล้วขายต่อให้ผู้ร้องผู้ร้องซื้อไว้โดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน

โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องกับนายจืนจะมีการซื้อขายกันอย่างไรโจทก์ไม่ยอมรับว่าเป็นการทำนิติกรรมโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะหนี้สินระหว่างนายจืนกับจำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน เป็นการสมยอมทำสัญญากู้ปลอมทั้งฉบับ แล้วนำมาฟ้องศาลแกล้งทำยอมความกัน นายจืนได้ยึดที่พิพาทมาขายทอดตลาด แม้จะฟังว่าผู้ร้องได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาโดยชอบด้วยกฎหมายก็ใช้ยันโจทก์ไม่ได้ เพราะทรัพย์ที่ผู้ร้องรับโอนมา ผู้โอนได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจะอ้างการครอบครองที่ได้มาโดยมิชอบก็ไม่ได้ ผู้ร้องไม่เสียหายเพราะถึงหากที่ดินถูกขายทอดตลาดไปผู้ร้องก็ชอบที่จะเรียกคืนจากนายจืนได้

วันสืบพยานผู้ร้อง โจทก์แถลงรับว่านายจืนซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดของศาล และขายให้ผู้ร้อง แต่หนี้สินระหว่างนายจืนกับจำเลยเป็นหนี้ที่เกิดจากการสมยอมกัน

ศาลชั้นต้นงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย แล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องซื้อไว้โดยสุจริต และมีค่าตอบแทน ทั้งได้จดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วโจทก์ต่อสู้แต่เพียงว่าจำเลยกับนายจืนคบคิดกันทำสัญญากู้ยืมขึ้นโดยความจริงไม่มีมูลหนี้โจทก์มิได้โต้เถียงว่าผู้ร้องได้ซื้อที่นาพิพาท และจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องนำสืบ ที่พิพาทจึงเป็นของผู้ร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามคำให้การของโจทก์ได้กล่าวว่า ผู้ร้องกับนายจืนจะมีการซื้อขายกันอย่างไร โจทก์ไม่ยอมรับว่าเป็นการทำนิติกรรมโดยชอบด้วยกฎหมายผู้ร้องไม่มีสิทธิที่จะร้องขัดทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ โจทก์กล่าวในอุทธรณ์ว่าที่ผู้ร้องซื้อที่พิพาท น่าเชื่อว่ามีการนัดแนะกันมาก่อนแล้วโดยไม่มีปัญหา ความจริงเป็นการอำพรางไว้มากกว่า เจ้าของแท้จริงยังคงเป็นของนายจืนอยู่ ดังนี้พออนุมานได้ว่าโจทก์ให้การต่อสู้ว่าผู้ร้องได้ซื้อที่พิพาทไว้โดยไม่สุจริต ส่วนการที่นายจืนขายที่พิพาทให้ผู้ร้อง โจทก์ก็ต่อสู้ว่านายจืนและจำเลยสมยอมกันทำหนังสือกู้ยืมขึ้นโดยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน แล้วนำมาฟ้องศาล ทำสัญญาประนีประนอมยอมความขึ้นเพื่อยึดที่ขายทอดตลาดอันเป็นการฉ้อฉล ทำให้โจทก์เสียหายฉะนั้น ถ้าหากข้อเท็จจริงได้ความดังที่โจทก์ต่อสู้โจทก์ก็อาจขอให้เพิกถอนการกู้ยืม และสัญญายอมความระหว่างนายจืนกับจำเลยได้เมื่อเพิกถอนแล้วจำเลยซึ่งมิได้ซื้อที่ดินไว้โดยสุจริต ก็อาจไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อต่อสู้ของโจทก์ไม่ปรากฏว่า ผู้ร้องได้รู้ถึงการที่นายจืนและจำเลยสมคบกันทำสัญญากู้ยืมแล้วนำมาฟ้องร้องตลอดจนแกล้งยอมความกันเพื่อให้นายจืนยึดที่พิพาทนั้นออกขายทอดตลาดคำให้การของโจทก์เพียงแต่ไม่รับรองการซื้อขายระหว่างนายจืนกับผู้ร้องว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเหตุแห่งการกระทำของนายจืนและจำเลย ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำให้การของโจทก์พออนุมานได้ว่าโจทก์ได้ต่อสู้ว่าผู้ร้องได้ซื้อที่พิพาทไว้โดยไม่สุจริต ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา คดีเรื่องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึด ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรค 2 ก็กำหนดให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเหมือนคดีธรรมดา ด้วยเหตุนี้โจทก์จะยกข้อต่อสู้อย่างใดขึ้น ก็ต้องแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่ายอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้องทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177เมื่อผู้ร้องอ้างว่าได้ซื้อที่พิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเช่นนี้แล้ว โจทก์จะต่อสู้ก็ต้องกล่าวมาให้ชัดเจนว่าผู้ร้องมิได้ซื้อที่พิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แต่โจทก์มิได้กล่าวเช่นนั้น กลับไปอ้างว่านายจืนและจำเลยกระทำการทุจริตอันเป็นการฉ้อฉลโจทก์ จะอนุมานเอาดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์หาได้ไม่เฉพาะปัญหาที่ว่า ผู้ร้องได้เสียค่าตอบแทน คือ ชำระราคาที่ดินให้นายจืนหรือไม่ โจทก์เองก็กล่าวว่า ถ้าที่พิพาทถูกขายทอดตลาดผู้ร้องก็ไม่ได้รับความเสียหายเพราะชอบที่จะไปเรียกเงินคืนจากนายจืนได้ คำให้การของโจทก์ดังนี้เท่ากับยอมรับว่าผู้ร้องได้ชำระเงินค่าที่ดินให้นายจืนไปแล้ว

ที่ศาลอุทธรณ์ได้หยิบยกเอาข้ออุทธรณ์ของโจทก์ที่กล่าวว่าการซื้อที่พิพาทของผู้ร้องน่าเชื่อว่าได้มีการนัดแนะกันมาก่อนแล้วไม่มีปัญหา ความจริงเป็นการอำพรางไว้มากกว่า เจ้าของแท้จริงยังเป็นของนายจืนอยู่ ศาลอุทธรณ์จึงอนุมานเอาว่า โจทก์ให้การแล้วว่าผู้ร้องได้ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริต ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์นั้น จักต้องเป็นข้อที่ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยโดยที่โจทก์มิได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา

เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งว่าผู้ร้องซื้อที่พิพาทจากนายจืนโดยไม่สุจริต จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องนำสืบที่ศาลชั้นต้นให้ปล่อยทรัพย์พิพาทรายนี้ชอบแล้ว

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share