แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาขายรถยนต์ปอนเตี๊ยกจึงเรียกเงินมัดจำคืนจำเลยต่อสู้ว่ากู้เงินโจทก์ 15,000บาทเอารถฮิลแมนประกันแล้วกู้อีก 10,000 บาทเอารถปอนเตี๊ยกประกันต่อมาจำเลยชำระคืน 15,000 บาทโจทก์คืนรถปอนเตี๊ยกให้แล้วโจทก์ยึดรถฮิลแมนของจำเลยโอนเป็นของโจทก์ โจทก์ยังจะต้องคืนเงินให้จำเลยอีก5,000 บาทข้อต่อสู้ของจำเลยมิได้กล่าวอ้างตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย ดังนี้ จำเลยจะนำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารสัญญาซื้อขายท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาขายรถยนต์นั่งยี่ห้อปอนเตี๊ยกแก่โจทก์15,000 บาท โจทก์วางมัดจำไว้ 10,000 บาท จำเลยสัญญาจะโอนรถให้ภายใน 7 วัน ถึงกำหนดจำเลยไม่สามารถโอนรถให้โจทก์ ๆ จึงขอเลิกสัญญาและขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำ
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ 15,000 บาท มอบรถฮิลแมนเป็นประกัน ต่อมากู้อีก 10,000 บาท มอบรถปอนเตี๊ยกเป็นประกันแล้วจำเลยชำระคืน 15,000 บาท โจทก์คืนรถปอนเตี๊ยกให้จำเลย ต่อมาโจทก์ยึดรถฮิลแมนโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เพื่อใช้หนี้ที่จำเลยยังค้างอยู่ 10,000 บาท ความจริงโจทก์จะต้องคืนเงินให้จำเลยอีก 5,000 บาท
วันชี้สองสถาน จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาตามสำเนาท้ายฟ้องจริงแต่เป็นเรื่องจำเลยกู้เงินโจทก์เอารถยนต์ประกัน และจำเลยได้ชำระเงินกู้ให้โจทก์แล้ว โดยมีใบรับเงินแต่โจทก์ยังไม่ได้คืนสัญญาท้ายฟ้องให้จำเลย
ศาลชั้นต้นฟังว่าสัญญาซื้อขายเป็นนิติกรรมอำพราง พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 10,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องที่จำเลยรับมีข้อความชัดว่า จำเลยได้ทำสัญญาขายรถยนต์ปอนเตี๊ยก และจำเลยรับมัดจำไว้แล้ว10,000 บาท ทั้งจำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีตามความใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย จำเลยจะนำสืบไม่ได้ พิพากษายืน