แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ย่อยาว
โจทย์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๑ เวลากลางคืน จำเลยเอาปืนลอบยิงนายอุ่น กระสุนปืนถูกนายอุ่นที่แขนซ้ายมีบาดเจ็บ ที่ตำบลมาบแค จังหวัดนครปฐม ขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคน ฯ
จำเลยให้การปฏิเสธข้อหา แลต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ ฯ
ศาลมณฑลนครชัยศรีพิจารณาฟังว่า จำเลยเอาปืนลอบยิงนายอุ่นจริง โดยตั้งใจจะฆ่าให้ตาย จำเลยมีความผิดต้องด้วยกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๒๔๙ จึงพิพากษาให้วางโทษจำคุกจำเลย ๑๕ ปี ลดฐานพยายามตามมาตรา ๖๐ เสีย ๑ ใน ๓ คงให้จำคุกจำเลยมีกำหนดโทษ ๑๐ ปี ฯ
อธิบดีศาลมณฑลนครชัยศรีมีความเห็นแย้งว่าพยานโจทย์ไม่พอจะเชื่อเปนหลักฐานมาลงโทษจำเลย ควรให้ยกฟ้องโจทย์ ฯ
จำเลยอุทธรณ ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษเห็นว่าพยานโจทย์เบิกความไม่ลงรอยกัน ทั้งถ้อยคำไม่สมกับเหตุ ไม่ควรฟังมาลงโทษจำเลย จึงพิพากษากลับคำพิพากษาเดิมให้ยกฟ้องโจทย์ปล่อยตัวจำเลย ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษในข้อเท็จจริง ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนแล้ว เห็นว่าพยานสำคัญของโจทย์ก็มีคำนายอุ่นผู้ถูกกระทำร้านกับคำนางสาวลิ้ม นางสาวเลื่อนซึ่งเปนบุตรีเลี้ยงนายอุ่นรวม ๓ ปาก เพราะเวลาที่คนร้ายลอบยิงนายอุ่น ๆ กำลังนอนอยู่ที่ระเบียงเรือน นางสาวลิ้ม นางสาวเลื่อนก็นั่งแลนอนอยู่ที่ระเบียงเรือนด้วยกัน คำนายอุ่นเบิกว่าพอได้ยินเสียงปืนดัง ๑ นัด กระสุนปืนมาถูกที่แขนนายอุ่น ๆ กระโดดออกมาที่นอกชาลก็เห็นคนร้ายอยู่ที่ดินริมบรรใดเรือนวิ่งหนีจำได้ว่าจำเลย คำนางสาวลิ้มพยานว่าแต่แรกได้ยินเสียงแกรก ๆ ก็มองดูเห็นจำเลยเกิรมาหยุดอยู่ที่น่าบรรใดเรือน นางสาวลิ้มถามจำเลยว่าจะไปไหน จำเลยก็ไม่ตอบยกปืนขึ้นยิงนายอุ่น ๑ นัดแล้ววิ่งหนีไป คำนางสาวเลื่อนพยานว่าได้ยินเสียงนางสาวลิ้มทักจำเลยก็เหลียวไปดูเห็นจำเลย ๆ ยกปืนขึ้นยิง ๑ นัด เมื่อได้พิเคราะห์ใคร่ครวญดูคำพยานโจทย์ทั้ง ๓ ปากนี้แล้ว ก็เห็นว่าเรื่องนี้คนร้ายลอบยิงอยู่ที่ดิน ไม่ได้ขึ้นไปยิงบนเรือนต่อน่า ตามธรรมดาของผู้ที่ลอบจะกระทำร้ายนั้นย่อมจะปิดบังระวังตัวมิให้ผู้ใดพบเห็นเมื่อได้ลงมือกระทำร้ายแล้วก็ย่อมจะรีบหนีไป ที่คนร้ายจะไปยืนให้พยานเห็แลพูดจาทักถามจำกันเสียก่อนแล้วยิงนั้นเปนอันไม่สมกับเหตุ เพราะเปนเวลากลางคืนมืดค่ำ ทั้งปรากฎว่าบนเรือนนายอุ่นก็มีตะเกียงจุดอยู่ ๑ ดวงด้วย นายอุ่นกับนางสาวลิ้มกลับจำอาวุธแลเครื่องนุ่งห่มของคนร้ายได้เลอียดลออยิ่งกว่าเวลากลางวันเสียอีก ว่าจำเลยถือปืนยาว ๑ หลาเศษ ใส่เสื้อชั้นในแขนยาวเพียงสอกสีดำดอกขาว นุ่งผ้าสีคล้ำ ๆ ค่อนข้างเขียวเช่นนี้ ก็เปนอันไม่สมกับเหตุอีก แลเวลาที่เห็นคนร้ายวิ่งหนีไปก็ดี ฤาการจำเครื่องนุ่งห่มของคนร้ายก็ดี พยาน ๓ ปากนี้เบิกความแตกต่างกัน มีพิรุธซึ่งไม่ควรฟังทั้งนั้น ฝ่านพยานจำเลยเบิกสมฐานที่อยู่จำเลยเปนหลักฐานฟังได้ว่าวันเกิดเหตุนั้นที่วัดกงลาศมีงานยกเสาธงจำเลยกับนายชดพยานกลับจากวัดมาถึงบ้านนายชดก็พอมืด จำเลยรับประทานอาหารอยู่ที่บ้านนายชด ซึ่งห่างกับบ้านนายอุ่นประมาณ ๑๐ เส้นเศษ ครั้นรับประทานอาหารแล้ว ก็ได้ยินเสียงปืนดังทางบ้านจำเลยแลนายอุ่น เพราะบ้านจำเลยกับบ้านนายอุ่นอยู่ใกล้กัน จำเลยก็ถามนายชดพยานว่าเสียงปืนทางไหน นายชดตอบว่าเสียงทางบ้านนายอุ่นฤาบ้านจำเลย ๆ ก็ลงจากเรือนนายชดรีบไปดู เมื่อจำเลยไปถึงบ้านนายเผื่อนซึ่งอยู่ติดต่อกับบ้านนายอุ่นจำเลยร้องถามว่าเสียงปืนอะไรกัน นายเผื่อนก็บอกจำเลยว่านายอุ่นถูกยิง แลนายอุ่นเขาร้องบอกกล่าวว่าจำเลยยิง จำเลยก็พูดว่าเอาความมาใส่แล้ว จำเลยก็ต่อว่านายอุ่นจึงได้เกิดโต้เถียงกับนายอุ่น ก็เปนอันสมเหตุผลต้นปลายฟังได้ว่า เวลาที่มีคนร้ายลอบยิงนายอุ่น จำเลยได้นั่งอยู่ที่บ้านนายชดพยาน ใช่แต่เท่านั้นมีคำนายเผื่อนพยานจำเลยซึ่งบ้านใกล้เคียงกับนายอุ่นได้เบิกความหักล้างคำนายอุ่น นางสาวลิ้ม นางสาวเลื่อนพยานโจทย์อยู่แล้วเพราะเวลาที่คนร้ายลอบยิงถูกนายอุ่น ๆ ได้ร้องถามว่า “ใครยิง” แล้วก็ถามนางสาวเลื่อนว่า “ใครยิง” นางสาวเลื่อนตอบว่าถามนางสาวลิ้มดูซิ นายอุ่นก็ถามนางสาวลิ้ม ๆ ก็ตอบว่า “ดูเหมือนทิดทับ” (จำเลย) ให้ร้องบอกกล่าวเข้าซี ทัดใดนั้นนายอุ่นจึงได้ร้องบอกกล่าวระบุชื่อจำเลยว่ายิงนายอุ่นดังนี้ ก็เห็นได้ว่านายอุ่น นางสาวลิ้ม นางสาวเลื่อนพยานโจทย์หาได้เห็นแลจำคนร้ายได้ไม่ เพราะเหตุนี้ที่ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิพากษายกฟ้องโจทย์ปล่อยตัวจำเลยนั้นชอบด้วยทางพิจารณาแล้ว ให้ยกฎีกาโจทย์เสีย ฯ