แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุจำเลยได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการตรวจรับการจ้างเหมาต่อเติมอาคารที่ทำการสถานีอุตุนิยมวิทยา 1 หลัง และปรับปรุงต่อเติมบ้านพักแถวเรือนแฝด1 หลัง ผู้เสียหายเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดและได้รับจ้างเหมาดังกล่าวก่อนมีการทำสัญญาจ้าง จำเลยขอยืมเงินผู้เสียหายจำนวน 5,000 บาทและในวันที่ 20 พฤษภาคม 2530 ผู้เสียหายได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยอีกจำนวน 15,000 บาท การที่จำเลยทราบอยู่แล้วว่าผู้เสียหายเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด ซึ่งจำเลยเป็นประธานคณะกรรมการตรวจรับการจ้างอยู่ด้วย ย่อมอาจทำให้เสียความเที่ยงธรรมได้ และการที่ผู้เสียหายยอมให้จำเลยยืมเงินดังกล่าวก็เพราะไม่อาจปฏิเสธได้ การกระทำของจำเลยส่อไปในทางทุจริตและเป็นความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการตามมาตรา 85 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2518 ว่าด้วยเรื่องบริจาค ทั้งต่อมาเมื่อมีการออกเช็คสั่งจ่ายค่าจ้างเหมาจำนวน 123,453 บาท และจำเลยได้นำเช็คไปขึ้นเงินสดที่ธนาคาร ระหว่างรอรับเงินผู้เสียหายได้ตามไปที่ธนาคารและขอให้โอนเงินตามเช็คเข้าบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายจากนั้นจำเลยได้ตามผู้เสียหายไปที่บ้านเพื่อขอใบรับเงินจากผู้เสียหายจำเลยได้เรียกร้องเงินจากผู้เสียหายอีกจำนวน 29,000 บาท โดยหักจากเงินที่ขอยืมไปจำนวน 5,000 บาท และให้ผู้เสียหายจ่ายให้จำนวน 24,000 บาท จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น ในที่สุดผู้เสียหายก็ยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยเพียง 15,000 บาท พฤติการณ์ที่จำเลยรับเงินจากผู้เสียหายดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ผู้เสียหายรับจ้างเหมาต่อเติมอาคารที่ทำการสถานีอุตุนิยมวิทยาที่จำเลยเป็นประธานคณะกรรมการตรวจรับการจ้าง อันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย การที่จำเลยเรียกร้องจากผู้เสียหายดังกล่าว เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2530 ถึงวันที่20 พฤษภาคม 2530 จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการตรวจรับการจ้างเหมาต่อเติมอาคารและปรับปรุงต่อเติมบ้านพักเจ้าหน้าที่สถานีอุตุนิยมวิยาอุทกบัวชุมใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจนายจรูญ หวังศิริผู้เสียหาย ว่าจำเลยจะให้งานจ้างดังกล่าวแก่ผู้ที่หามาให้มอบให้หรือให้ผลประโยชน์อื่นใดแก่จำเลยมากที่สุด และจำเลยใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งประธานคณะกรรมการรับการจ้างปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตให้ผู้เสียหายเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดและได้ทำงานดังกล่าว แล้วจำเลยใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบข่มขืนใจหรือจูงใจเอาเงินจำนวน 20,000 บาท จากผู้เสียหายตามที่จำเลยกล่าวจูงใจและปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลบัวชุมอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จำคุก 4 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 3 ปีลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก2 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานอุตุนิยมวิทยา 4 หัวหน้าสถานีอุตุนิยมวิทยาอุทกบัวชุม อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรีได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการตรวจรับการจ้างเหมาต่อเติมอาคารที่ทำการสถานีอุตุนิยมวิทยาอุทกบัวชุม 1 หลังและปรับปรุงต่อเติมบ้านพักแถวเรือนแฝด 1 หลัง ในวงเงิน129,000 บาท ซึ่งมีนายจรูย หวังศิริ ผู้เสียหายเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดและได้รับจ้างเหมาดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2530 ก่อนมีการทำสัญญาจ้าง จำเลยขอยืมเงินผู้เสียหายจำนวน 5,000 บาทและในวันที่ 20 พฤษภาคม 2530 ผู้เสียหายได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยอีกจำนวน 15,000 บาท ต่อมาผู้เสียหายมีหนังสือร้องเรียนต่อประธานกรรมการ ป.ป.ป. กล่าวหาว่า จำเลยทุจริตประพฤติมิชอบเกี่ยวกับการจ้างเหมาก่อสร้างต่อเติมอาคารที่ทำการสถานีอุตุนิยมวิทยาบัวชุมดังกล่าว ประธานกรรมการ ป.ป.ป. ส่งเรื่องให้อธิบดีกรมตำรวจดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย
คดีมีปัญหามาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยขอยืมเงินจากผู้เสียหายก่อนมีการลงนามในสัญญาจ้างจำนวน 5,000 บาท และผู้เสียหายได้มอบเช็คเงินสดของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาลำนารายณ์ สั่งจ่ายเงินจำนวน 5,000 บาท ให้แก่จำเลย และจำเลยรับเงินตามเช็คในวันเดียวกัน โดยจำเลยทราบอยู่แล้วว่าผู้เสียหายเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดซึ่งจำเลยเป็นประธานคณะกรรมการตรวจรับการจ้างอยู่ด้วยย่อมอาจทำให้เสียความเที่ยงธรรมได้ การที่ผู้เสียหายยอมให้จำเลยยืมเงินดังกล่าวก็เพราะไม่อาจปฏิเสธได้ การกระทำของจำเลยส่อไปในทางทุจริตและเป็นความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการตามมาตรา 85 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 ว่าด้วยเรื่องบริจาค แต่อย่างไรก็ดีข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่าเมื่อมีการออกเช็คสั่งจ่ายเงินค่าจ้างเหมาจำนวน 123,453 บาท และจำเลยได้นำเช็คไปขึ้นเงินสดที่ธนาคารระหว่างรอรับเงินผู้เสียหายได้ตามไปที่ธนาคารและขอให้โอนเงินตามเช็คเข้าบัญชีเงินฝากของผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยได้ตามผู้เสียหายไปที่บ้านเพื่อขอใบรับเงินจากผู้เสียหาย จำเลยได้เรียกร้องเงินจากผู้เสียหายอีกจำนวน 29,000 บาท โดยหักออกจากเงินที่ขอยืมไปจำนวน 5,000 บาท และให้ผู้เสียหายจ่ายให้จำนวน24,000 บาท จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น ในที่สุดผู้เสียหายก็ยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยเพียง 15,000 บาทพฤติการณ์ที่จำเลยรับเงินจากผู้เสียหายดังกล่าว สืบเนื่องมาจากผู้เสียหายรับจ้างเหมาต่อเติมอาคารที่ทำการสถานีอุตุนิยมวิทยาอุทกบัวชุม ที่จำเลยเป็นประธานคณะกรรมการตรวจรับการจ้าง อันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย การที่จำเลยเรียกร้องเงินจากผู้เสียหายดังกล่าว เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จะอ้างว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตและนำเงินไม่ซ่อมแซมสถานที่ราชการซึ่งทางกรมอุตุนิยมวิทยาผู้บังคับบัญชาไม่เอาผิดทางอาญาแก่จำเลยย่อมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน