คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2307/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายกับจำเลยเช่าบ้านหลังเดียวกันแต่คนละห้อง มีบันไดขึ้นลงคนละทาง ทั้งสองฝ่ายชอบพอกัน ตามปกติจำเลยมาหาผู้เสียหายเสมอ เคยขึ้นไปห้องรับแขกผู้เสียหายไม่เคยห้ามปราม ถ้าผู้เสียหายไม่อยู่จำเลยก็มาคุยกับน้องสาวผู้เสียหาย วันเกิดเหตุผู้เสียหายไม่อยู่ จำเลยก็มาบ้านผู้เสียหาย เข้าไปในห้องรับแขก นอนบนเก้าอี้นวมอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วจำเลยลักนาฬิกาของผู้เสียหายที่วางไว้บนตู้โชว์ติดกับเก้าอี้นวมไป การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเป็นการได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้โดยปริยาย จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามมาตรา 335(8)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วลักเอานาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายไป ต่อมาเจ้าพนักงานจับจำเลยได้และนาฬิกาข้อมือดังกล่าวซึ่งจำเลยทิ้งไว้ ทั้งนี้ โดยจำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจรนาฬิกาข้อมือของผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕(๘), ๓๕๗
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕(๘) จำคุก ๒ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๔ จำคุก ๑ ปี
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้เสียหายกับจำเลยเช่าบ้านหลังเดียวกันแต่คนละห้อง มีบันไดขึ้นลงคนละทาง ทั้งสองฝ่ายชอบพอกัน ตามปกติจำเลยมาหาผู้เสียหายเสมอ เคยขึ้นไปห้องรับแขก ผู้เสียหายไม่เคยห้ามปราม ถ้าผู้เสียหายไม่อยู่จำเลยก็มาคุยกับนางสาวหนับน้องสาวผู้เสียหาย วันเกิดเหตุผู้เสียหายไม่อยู่ จำเลยก็มาบ้านผู้เสียหาย เข้าไปในห้องรับแขก นอนบนเก้าอี้นวมอ่านหนังสือพิมพ์ เก้าอี้นวมอยู่ติดกับตู้โชว์ ผู้เสียหายวางนาฬิกาที่จำเลยลักไว้บนตู้โชว์ ในขณะนั้นนางสาวหนับอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ห้ามปรามจำเลย เห็นว่าการที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเป็นการได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้โดยปริยาย จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามมาตรา ๓๓๕(๘) ดังฟ้อง
พิพากษายืน

Share