แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ผู้ขนส่ง อ้างว่า ผู้รับตราส่งไม่ได้บอกกล่าวให้ผู้ขนส่งหรือผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมายทราบถึงความเสียหายภายใน 15 วัน นับแต่วันรับมอบของ จึงเข้าข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 49 ว่าผู้ขนส่งได้มอบของที่มีสภาพดีแก่ผู้รับตราส่งแล้วนั้น ข้อสันนิษฐานดังกล่าวเป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้น ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด จึงสามารถนำสืบหักล้างได้ เมื่อฟังได้ว่าสินค้าพิพาทได้รับความเสียหายจากการขนส่งทางทะเลจริง ผู้ขนส่งก็ต้องรับผิด
โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าพิพาท และได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับตราส่งไปแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่งตามกฎหมาย มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ขนส่งและผู้ขนส่งอื่นรับผิดต่อโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 941,637.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 941,637.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์รับประกันภัยสินค้าตุ๊กแกตากแห้งจำนวน 115 กล่อง ที่บริษัทฟูลเฮาส์ จำกัด ผู้ขายในประเทศไทยว่าจ้างจำเลยทั้งสองขนส่งทางทะเลไปให้บริษัทตุงวูชง เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้ซื้อที่ประเทศไต้หวัน ในวงเงิน 38,659.50 ดอลลาร์สหรัฐ สินค้าพิพาทไปถึงท่าเรือปลายทางเมืองกีลุง ประเทศไต้หวัน วันที่ 12 สิงหาคม 2536 และถูกส่งต่อไปถึงบริษัททังยา ทรานสปอร์ตเทชั่น แอนด์ เทอร์มินัล จำกัด วันที่ 18 สิงหาคม 2536 ขณะสินค้าพิพาทอยู่ที่บริษัท ทังยา ทรานสปอร์ตเทชั่น แอนด์ เทอร์มินัล จำกัด พนักงานของบริษัทนำสินค้าพิพาทออกจากตู้สินค้าเมื่อเวลา 16.40 นาฬิกา ของวันที่ 20 สิงหาคม 2536 ปรากฏว่าสินค้าพิพาทได้รับความเสียหาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า สินค้าพิพาทเสียหายขณะอยู่ในระหว่างการขนส่งทางทะเลหรือไม่ เห็นว่า เรือบรรทุกสินค้าพิพาทเดินทางออกจากท่าเรือกรุงเทพมหานครวันที่ 4 สิงหาคม 2536 ถึงท่าเรือเมืองกีลุง ประเทศไต้หวันวันที่ 12 สิงหาคม 2536 พนักงานของบริษัททังยา ทรานสปอร์ตเทชั่น แอนด์ เทอร์มินัล จำกัด รับมอบตู้สินค้าพิพาทไว้ ปรากฏว่าตู้สินค้ามีสภาพชำรุดบิดงอ การที่ตู้สินค้าซึ่งทำด้วยเหล็กหนามีสภาพบิดงอย่อมแสดงว่าตู้สินค้าถูกกระแทกอย่างแรง เมื่อนายเลี้ยง พนักงานของจำเลยที่ 2 เบิกความรับว่า ขณะรับตู้สินค้าพิพาท ตู้สินค้ามีสภาพเรียบร้อย ดังนั้นการบิดงอของตู้สินค้าจึงต้องเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งทางทะเลคือระหว่างวันที่ 4 ถึง 12 สิงหาคม 2536 และเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นประกอบกับรายงานการสำรวจความเสียหายของสินค้าพิพาทโดยบริษัทเซย์บอลท์ – ไต้หวัน จำกัด แล้ว ปรากฏว่าตู้สินค้าด้านนอกที่มุนบนด้านซ้ายของแผ่นหน้ามีรอยแตกยาวประมาณ 12 เซนติเมตร กว้าง 0.6 เซนติเมตร และภายในตู้สินค้าที่มุมขวาด้านหน้ามีรอยแตกยาวประมาณ 12 เซนติเมตร กว้าง 0.3 เซนติเมตร ที่พื้นตู้สินค้ามีรอยเปียกน้ำเห็นได้ชัด ที่เพดานมีหยดน้ำเกาะอยู่จำนวนมาก ที่ตัวสินค้าและกล่องใส่สินค้ามีราสีเขียวและมีหนอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แสดงว่าสินค้าพิพาทเสียหายเนื่องจากมีน้ำจำนวนมากเข้าไปในตู้สินค้าทางรอยแตกทั้งสองแห่ง แม้จะพบรอยแตกหลังวันที่ 12 สิงหาคม 2536 แต่เมื่อดูสภาพของสินค้าพิพาทที่เน่าจนมีหนอนและราขึ้นเขียวแล้ว ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่ารอยแตกของตู้สินค้าและความเสียหายของสินค้าพิพาทไม่ได้เกิดขึ้นใหม่ หากแต่เกิดขึ้นพร้อมกับรอยบิดงอของตู้สินค้าเนื่องจากถูกกระทบกระแทกอย่างแรงนั่นเองเพียงแต่ขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเท่านั้น เมื่อสินค้าพิพาทเกิดความเสียหายขณะอยู่ในระหว่างการขนส่งทางทะเล จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ขนส่งร่วมจึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทตุงวูซง เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้รับตราส่ง…
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาต่อมาว่า ผู้รับตราส่งไม่ได้บอกกล่าวให้ผู้ขนส่งหรือผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมายทราบถึงความเสียหายภายใน 15 วัน นับแต่วันรับมอบของจึงเข้าข้อสันนิษฐานว่าผู้ขนส่งได้มอบของที่มีสภาพดีแก่ผู้รับตราส่งแล้วนั้นเห็นว่า ข้อสันนิษฐานตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 เป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้นไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดโจทก์จึงสามารถนำสืบหักล้างได้ และฟังได้ว่าสินค้าพิพาทได้รับความเสียหายจากการขนส่งทางทะเลจริงดังวินิจฉัยมาแล้วข้างต้น สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อสุดท้ายที่อ้างว่า โจทก์ไม่ได้รับช่วงสิทธิตามกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าพิพาท และได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับตราส่งไปแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่งตามกฎหมายและมีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยไม่ระบุให้ชัดว่าของต้นเงินจำนวนเท่าใดนั้น อาจทำให้เข้าใจผิดว่าคิดจากต้นเงิน 941,637.98 บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะจำนวนเงินดังกล่าวไม่ใช่ต้นเงินเพียงอย่างเดียว หากแต่ได้รวมเอาดอกเบี้ยไว้ด้วย จึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ชัดเจน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 890,754.98 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.