คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัทจำเลยวางระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จรางวัลซึ่งเป็นกฎเกณฑ์การจ่ายเงินบำเหน็จรางวัลแก่พนักงานบริษัทไว้ เพื่อใช้บังคับในกรณีที่การทำงานของพนักงานบริษัทครบเกษียณอายุหรือต้องสิ้นสุดลง อันถือได้ว่าเป็นเงื่อนไขส่วนหนึ่งแห่งสัญญาจ้าง เมื่อพนักงานได้กระทำตามเงื่อนไขต่างๆ ดังกำหนดไว้นั้นแล้ว จำเลยย่อมผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่พนักงานผู้นั้นตามกฎเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ แม้จำเลยจะมีสิทธิเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือยกเลิกระเบียบดังกล่าวได้ไม่ว่าจะเพียงบางส่วนหรือทั้งหมด ทั้งนี้สุดแต่บริษัทจำเลยจะเห็นสมควรก็ตามแต่ตราบใดที่จำเลยยังมิได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ดังกล่าว จำเลย ก็ต้องผูกพันตามนั้นอยู่ ขณะที่จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ หากโจทก์มีสิทธิที่จะได้รับเงินบำเหน็จจากจำเลยตามกฎเกณฑ์อยู่อย่างไร จำเลยย่อมผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินบำเหน็จนั้นแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความว่า โจทก์เป็นพนักงานรักษาเงิน (แคชเชียร์) ของบริษัทจำเลย เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๐ ระหว่างที่โจทก์ทำงานอยู่ในบริษัทจำเลย จำเลยได้ให้คำมั่นสัญญากันพนักงานของบริษัทจำเลยว่า เมื่อการทำงานของพนักงานคนใดสิ้นสุดลงเพราะครบเกษียณอายุก็ดี บริษัทจำเลยเลิกจ้างก็ดี ถึงแก่ความตายก็ดี หรือสมัครใจลาออกก็ดี บริษัทจำเลยจะจ่ายเงินบำเหน็จรางวัลให้โดยคำนวณจากระยะเวลาการทำงานเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๕ บริษัทจำเลยได้มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์พร้อมกับจ่ายเงินเดือนเงินฝากสะสมของโจทก์คืนให้โจทก์เป็นเงิน ๗,๒๕๐ บาท โดยอ้างว่าโจทก์กระทำความผิดอาญาอย่างร้ายแรงต่อจำเลย การกระทำของบริษัทจำเลยกับพวกเป็นเหตุให้โจทก์ถูกดำเนินคดีที่ศาลแขวงพระนครใต้ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ทั้งที่โจทก์มิได้กระทำ ศาลแขวงนครใต้พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๘๑๘๕/๒๕๑๗ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด จำเลยจึงต้องจ่ายเงินให้แก่โจทก์ตามกฎหมายและสัญญาดังนี้ คือ
ก. จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานหนึ่งเท่าของอัตราเงินเดือนครั้งสุดท้ายเป็นเงิน ๕,๒๕๐ บาท
ข. จ่ายค่าบำเหน็จรางวัลตามสัญญาของบริษัทจำเลยสำหรับระยะเวลาการหางานของจำเลย (น่าจะเป็นโจทก์) ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐ ถึงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๑๕ เป็นเวลา ๑๕ ปี ๘ เดือน เป็นเงิน ๘๑,๔๖๖.๖๖ บาท ตามคำสั่งเลิกจ้างของบริษัทจำเลยและการที่โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญา ทำให้เสียหายต่อชื่อเสียงและการงานของโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์หางานทำไม่ได้เนื่องจากบริษัทห้างร้านตั้งข้อรังเกียจ รวมค่าชดเชย ค่าบำเหน็จรางวัลและค่าเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๖๖,๗๑๖.๖๖ บาท ขอให้พิพากษาบังคับบริษัทจำเลยชำระเงินแก่โจทก์เป็นเงิน ๒๖๖,๗๑๖.๖๖ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ความจริงมีว่าบริษัทจำเลยทั้งระเบียบเงินรางวัลตอบแทนการออกจากงานโดยบริษัทจำเลยจะพิจารณาให้เงินรางวัลแก่พนักงานผู้ออกจากงานก็ต่อเมื่อพนักงานผู้นั้นได้ปฏิบัติงานให้แก่บริษัทจำเลยถูกต้องตามเงื่อนไขการปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ในระเบียบแบบแผนเงินรางวัลตอบแทน อย่างไรก็ดีแม้ว่าพนักงานจะได้ปฏิบัติงานถูกต้องตามระเบียบแล้วก็ตามก็ยังเป็นเอกสิทธิของบริษัทจำเลยที่จะให้เงินรางวัลหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของบริษัทจำเลย เนื่องจากการให้เงินรางวัลตอบแทนเป็นการให้โดยเสน่หาซึ่งบริษัทจำเลยจะให้หรือไม่ก็ได้ และยังเป็นหน้าที่พนักงานทุกคนจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของบริษัทจำเลยอีกด้วย ปรากฏว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานและมีกรณีต่อไปในทางมีมลทินในกรณีที่มีการลักและปลอมแปลงเช็คของบริษัทจำเลยไปเบิกเงินจากธนาคารเชสแมนฮัดตัน การกระทำของโจทก์ทำให้บริษัทจำเยได้รับความเสียหายและพฤติการณ์ของโจทก์ส่อไปในทางไม่ซื่อสัตย์สุจริต เป็นการฝ่าฝืนกากฎข้อขังคับการทำงานของบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยจึงได้สั่งให้โจทก์ออกจากงาน ซึ่งตามข้อ ๓ (ค) ของระเบียบแบบแผนเงินรางวัลตอบแทนการออกจากงานโจทก์ไม่มีสิทธิจะได้รับเงินรางวัลตอบแทนการออกจากงานจากบริษัทจำเลยอาศัยอำนาจตามข้อ ๓ (ค) และข้อ ๑๐ ของระเบียบดังกล่าว บริษัทจำเลยจึงใช้เอกสิทธิวินิจฉัยชี้ขาดไม่ให้เงินรางวัลตอบแทนใดๆ แก่โจทก์ แม้โจทก์จะเสียหายจริงก็ไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๘๕,๗๖๓.๗๘ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นลูกจ้างบริษัทจำเลย ตำแหน่งพนักงานรักษาเงิน เข้าทำงานมาตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐ จนถึงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นวันที่บริษัทจำเลยสั่งให้โจทก์ออกจากงาน เหตุที่บริษัทจำเลยให้โจทก์ออกจากงานเนื่องจากมีคนร้ายลักตัดเอาเช็คของบริษัทจำเลยจากสมุดเช็คไป ๔ ฉบับ แล้วเขียนกรองรายการจ่ายเงินและเขียนลายมือชื่อนาย เอ.เจ.เอ็ม.วิชเชอร์ ผู้จัดการฝ่ายการเงินของบริษัทจำเลยปลอมไปรับเงินจากธนาคารเชลแมนฮัตตันจำวน ๓ ฉบับ เป็นเงิน ๔๘๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก ๑ ฉบับไม่ได้นำไปรับเงิน บริษัทจำเลยทราบเรื่องจึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์และสั่งให้โจทก์ออกจากงาน พร้อมทั้งจ่ายเงินครั้งสุดท้ายให้ ๗,๒๕๐ บาท ซึ่งเป็นเงินเดือนของโจทก์ ๕,๒๕๐ บาท กับเงินฝากของโจทก์เดือนละ ๒๕๐ บาท อีก ๒,๐๐๐ บาท และโจทก์ถูกฟ้องต่อศาลแขวงพระนครใต้ ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว
ศาลฎีกาเชื่อว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฉ้อโกง หรือฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานของบริษัท หรือมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต หรือทำละเมินต่อบริษัทจำเลย
วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่าที่จำเลยฎีกาว่าระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จรางวัลตามเอกสารหมาย จ.๓ ไม่ใช่คำมั่นตามกฎหมาย แต่เป็นเพียงสัญญาจะให้โดยเสน่หาไม่มีลักษณะเป็นการผูกมัดจำเลยให้จำต้องจ่ายเงินรางวัลให้พนักงานที่ออกจากงานทุกรณีไปนั้นพิเคราะห์ตามเอกสารหมาย จ.๓ แล้ว เห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นกฎเกณฑ์การจ่ายเงินบำเหน็จรางวัลแก่พนักงานของบริษัทจำเลย ซึ่งบริษัทจำเลยวางไว้เพื่อให้บังคับในกรณีที่การทำงานของพนักงานบริษัทครบเกษียณอายุหรือต้องสิ้นสุดลง อันถือได้ว่าเป็นเงื่อนไขส่วนหนึ่งแห่งสัญญาจ้าง เมื่อพนักงานได้กระทำตามเงื่อนไขต่างๆ ดังกำหนดไว้นั้นแล้ว จำเลยย่อมผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่พนักงานผู้นั้นตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ที่จำเลยอ้างว่าบริษัทจำเลยทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือยกเลิกระเบียบดังกล่าวได้ไม่ว่าจะเพียงบางส่วนหรือทั้งหมด ทั้งนี้สุดแต่บริษัทจำเลยจะเห็นสมควร ตามข้อ ๙ ของเอกสารหมาย จ.๓ ซึ่งเป็นสิทธิเด็ดขาดของจำเลยฝ่ายเดียวที่จะกระทำเช่นนั้นได้โดยที่พนกังานทุกคนไม่มีสิทธที่จะโต้แย้งนั้น เห็นว่าแม้จำเลยจะมีสิทธิกระทำเช่นนั้นได้ แต่ตราบใดที่จำเลยยังมิได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ดังกล่าว จำเลยก็ต้องผูกพันตามนั้น ขณะที่จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ หากโจทก์มีสิทธที่จะได้รับเงินบำเหน็จจากจำเลยตามกฎเกณฑ์อยู่อย่างไร จำเลยย่อมผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินบำเหน็จนั้นแก่โจทก์ ข้องอ้างของจำเลยฟังๆม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share