คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2119/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในมูลหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินดังกล่าว หาได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดในมูลหนี้ตามตั๋วแลกเงินไม่สัญญาขายลดตั๋วเงินไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ โดยเฉพาะ ดังนั้น จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 คือมีกำหนดอายุความ 10 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์มียอดหนี้ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวม ๗๘๙,๓๖๓.๔๐ บาท และจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาขายลดตั๋วเงินไว้กับโจทก์ ๖ ฉบับ สั่งให้บริษัท ธ.เกษตรสิน จำกัด เป็นผู้จ่ายเงินทั้ง ๖ ฉบับ จำนวนเงินฉบับละ ๕๐,๐๐๐ บาท ลงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๑๗ วันที่ ๑, ๗, ๙ ตุลาคม ๒๕๑๗ วันละฉบับและลงวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๑๗ รวม ๒ ฉบับ จำเลยที่ ๕ เป็นผู้รับอาวัลกับเข้าค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินโดยยอมเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ทำสัญญาค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินของจำเลยที่ ๑ ไว้โดยยอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑๐ โดยจำเลยที่ ๑ รับรองว่าตั๋วเงินดังกล่าวมีเงินพอจ่าย ไม่จำต้องมีคำคัดค้านและยอมให้โจทก์ผู้ทรงตั๋วผ่อนเวลาให้แก่ผู้จ่ายเงินเพื่อการรับรองหรือเพื่อการชำระเงินไม่ต้อง แจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบ หากโจทก์ไม่ได้รับเงินด้วยประการใด ๆ จำเลยที่ ๑ ยอมใช้ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปีของต้นเงินที่ค้างชำระตลอดไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ เมื่อถึงกำหนดจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินแต่ละฉบับโจทก์ส่งตั๋วแลกเงินไปเรียกเก็บเงินกับผู้จ่ายแต่เรียกเก็บไม่ได้จึงทวงถามผู้ค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินก็ได้รับการปฏิเสธ จำเลยจึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงิน ๖ ฉบับ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปีจากต้นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่สัญญาแต่ละฉบับถึงกำหนดวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ เป็นเงินดอกเบี้ย ๘๗,๗๐๑.๓๐ บาท วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๖ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทำสัญญาจำนองที่ดินกับหนังสือสัญญาต่อท้ายหนังสือสัญญาจำนองที่ดินโฉนดที่ ๒๓๙๖ พร้อมสิ่งก่อสร้างไว้กับโจทก์เป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ในวันเดียวกันจำเลยที่ ๓ ทำสัญญาจำนองและหนังสือสัญญาต่อท้ายหนังสือสัญญาจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ของจำเลยที่ ๑ ไว้กับโจทก์ ๒ ฉบับ ยอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ จนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง โจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวและแจ้งบังคับจำนองไปยังจำเลยทุกคนแล้ว จำเลยทุกคนเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระหนี้ไถ่จำนองกับโจทก์เป็นเงิน ๑,๑๗๗,๐๖๔.๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปีของต้นเงิน ๗๘๙,๓๖๓.๔๐ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปีของต้นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองกับโจทก์เสร็จ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบ ขอให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ ถ้าขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์อื่นขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕ ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาจำนองที่ดินและสัญญาค้ำประกันจริงตามฟ้อง จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ทำสัญญาค้ำประกันการขายลดตั๋วแลกเงินของจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ ๒ ฉบับ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑๐ คนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท และจำเลยที่ ๒ ค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๕ ลงชื่อเป็นผู้รับอาวัลตั๋วแลกเงิน ๖ ฉบับตามฟ้อง จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันคนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๕ รับผิดในฐานะผู้รับอาวัลตั๋วแลกเงิน ๖ ฉบับ ๓๐๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ย ส่วนหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ ๑ นั้น จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๒ รับผิดในฐานะผู้จำนองที่ดินประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ ๑ ตั๋วแลกเงินตามฟ้องทั้ง ๖ ฉบับขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๐๒ จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ ในฐานะผู้ค้ำประกันและจำเลยที่ ๕ ในฐานะผู้รับอาวัลพ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๓๘, ๖๘๙
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันชำระเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ๗๖๒,๔๔๑.๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ ๑๕ ต่อปีตั้งแต่วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๑๙ จนถึงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๑๙ ต่อจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีโดยไม่ทบต้น ถ้าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ ร่วมกันชำระเงินตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปีนับแต่วันที่ตั๋วเงินแต่ละฉบับถึงกำหนดชำระ ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ร่วมรับผิดในวงเงินไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๑๙ อันเป็นวันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่พิเคราะห์แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาขาดลดตั๋วเงินไว้กับโจทก์ ๖ ฉบับ โดยมีจำเลยที่ ๕ เป็นผู้รับอาวัลตั๋วแลกเงินนั้น และเข้าค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินโดยยอมเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ได้ทำสัญญาค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินของจำเลยที่ ๑ โดยยอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ด้วย เมื่อตั๋วแลกเงินถึงกำหนดโจทก์ส่งไปเรียกเก็บเงินจากผู้จ่ายแต่เรียกเก็บไม่ได้ จึงทวงถามผู้ค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินก็ได้รับการปฏิเสธ จำเลยต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินตามสัญญาขายลดตั๋วเงินทั้ง ๖ ฉบับ พร้อมดอกเบี้ยเห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดในมูลหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินที่จำเลยที่ ๑ ทำไว้ต่อโจทก์ และให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้ค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินดังกล่าว หาได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดในมูลหนี้ตามตั๋วแลกเงินไม่ สัญญาขายลดตั๋วเงินไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ คือมีกำหนดอายุความ ๑๐ ปี เทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๕๕/๒๕๒๐ ระหว่างธนาคารเอเซียทรัสต์ จำกัด โจทก์ นางเซียมเกียว แซ่เบ๊ จำเลย โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ ยังไม่เกิน ๑๐ ปี คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน

Share