แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การนำสืบว่า จำเลยโอนเงินทางธนาคารเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้เป็นการชำระหนี้อย่างอื่นซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ได้ยอมรับแล้วกรณีมิใช่ เป็นการนำสืบการใช้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็น หนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้ยืมมาแสดง จึงไม่ต้องห้าม มิให้นำสืบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง จำเลยได้โอนเงินทางธนาคารเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้รายพิพาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์จนครบถ้วน และโจทก์ได้ยอมรับชำระหนี้แล้ว ถือได้ว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ ที่ได้ตกลงกันไว้ย่อมทำให้หนี้กู้ยืมรายพิพาทระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2535 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ 300,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เมื่อครบกำหนดชำระเงินคืนวันที่ 1 เมษายน 2536 จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 473,625 บาท กับชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 300,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2535 แต่ได้รับเงินเพียง 250,000 บาท ต่อมาโจทก์อ้างว่า สัญญากู้ยืมเงินหายให้จำเลยลงชื่อในสัญญากู้ยืมเงินที่ไม่ได้กรอกข้อความอีกฉบับหนึ่ง แล้วโจทก์นำไปกรอกข้อความเป็นว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2536 จำนวน 500,000 บาท ซึ่งไม่เป็นความจริง ต่อมาจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยที่กู้โจทก์ครบถ้วนแล้วโดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 300,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2535ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2535 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 300,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระคืนภายในวันที่ 1 เมษายน 2536 ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาจำเลยโอนเงินทางธนาคารเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)สาขาลาดพร้าว เลขที่ 1293122824 ของโจทก์
ปัญหาที่ต้องวินิฉัย ตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยชำระหนี้เงินกู้รายพิพาทครบถ้วนให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยโอนเงินทางธนาคารเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาลาดพร้าว ซึ่งโจทก์ก็เบิกความยอมรับว่าจำเลยได้โอนเงินเข้าบัญชีโจทก์จริง จึงเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ได้ยอมรับแล้วกรณีมิใช่เป็นการนำสืบการใช้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้ยืมมาแสดงซึ่งต้องห้ามมิให้นำสืบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง ส่วนที่โจทก์นำสืบอ้างว่าจำเลยชำระหนี้รายอื่นไม่เกี่ยวกับหนี้รายพิพาทนั้น ข้อนำสืบของโจทก์ฟังไม่ได้ตามฟ้องส่วนพยานหลักฐานของจำเลยมีเหตุผลและน้ำหนักน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยได้โอนเงินทางธนาคารเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้รายพิพาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์จนครบถ้วนแล้ว และโจทก์ได้ยอมรับชำระหนี้แล้วจึงได้ฉีกสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์ได้รับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ย่อมทำให้หนี้กู้ยืมรายพิพาทระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหนึ่ง
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์