แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การพิจารณาว่าคดีแพ่งใดเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่นั้น ย่อมต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงในคดีแพ่งนั้นเองว่าเป็นการกระทำที่เป็นองค์ประกอบความผิดในคดีอาญาหรือไม่ โจทก์ฟ้องจำเลยในทางแพ่งขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายอันเนื่องมาจากจำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอม ก็โดยอาศัยเหตุจากที่โจทก์เคยแจ้งความร้องทุกข์ให้อัยการศาลทหารฟ้องจำเลยคดีก่อนในทางอาญาเรื่องจำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งศาลทหารพิพากษาลงโทษจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้ว นับได้ว่าทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญาต่างมีประเด็นสำคัญโดยตรงเป็นอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทกคดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ดังนั้น ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งที่ว่าจำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมหรือไม่ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่ฟังว่าจำเลยใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 เมื่อคดีอาญาถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษาลงโทษจำเลยก่อนที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีแพ่งสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องคดีแพ่งย่อมมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/32(มาตรา 168 เดิม) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสามคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดวันที่ 28 เมษายน 2538 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2538ยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 918 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 6 ตารางวาขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองระหว่างโจทก์จำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 918 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ฉบับลงวันที่ 9 มกราคม 2532ให้จำเลยส่งมอบต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวคืนโจทก์ หากไม่คืนขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาสัตหีบออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ใหม่
จำเลยให้การว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามฟ้องเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืม และจำเลยเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนับแต่วันจดทะเบียนจนปัจจุบัน โจทก์ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ทราบเหตุอันเป็นมูลขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินนั้น และจำเลยครอบครองที่ดินดังกล่าวเกินกว่า 1 ปีฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับกันว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2534 โจทก์ตรวจสอบพบว่าเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2532 โจทก์จดทะเบียนโอนขายที่ดินตามฟ้องให้แก่จำเลย ครั้นวันที่18 เมษายน 2532 จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวแก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด โจทก์จึงร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลย ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2538 ศาลมณฑลทหารบกที่ 14พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264จำคุก 1 ปี คดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดการชี้สองสถานและงดการสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมโอนสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 918 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ระหว่างโจทก์กับจำเลย ตามสารบัญจดทะเบียนรายการลงวันที่ 13 มกราคม 2532 ตามหนังสือมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 9 มกราคม 2532 ให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 918ดังกล่าวคืนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีได้ความว่าเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2532 จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินโจทก์ตามฟ้องให้แก่จำเลยโดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ฉบับลงวันที่ 9 มกราคม 2532 ซึ่งโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย ต่อมาโจทก์ร้องทุกขดำเนินคดีแก่จำเลยและศาลมณฑลทหารบกที่ 14พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกประกอบมาตรา 264 จำคุก 1 ปี คดีถึงที่สุด โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินตามฟ้องระหว่างโจทก์จำเลย
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยในชั้นนี้เพียงว่า ฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่ และคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่าการพิจารณาว่าคดีแพ่งใดเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่นั้น ย่อมต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงในคดีแพ่งนั้นเองว่าเป็นการกระทำที่เป็นองค์ประกอบความผิดในคดีอาญาหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในทางแพ่งขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายอันเนื่องมาจากจำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมก็โดยอาศัยเหตุจากที่โจทก์เคยแจ้งความร้องทุกข์ให้อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 14 ฟ้องจำเลยคดีก่อนในทางอาญาเรื่องจำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งศาลมณฑลทหารบกที่ 14 พิพากษาลงโทษจำเลยละคดีถึงที่สุดแล้ว นับได้ว่าทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญาต่างมีประเด็นสำคัญโดยตรงเป็นอย่างเดียวกัน เช่นนี้ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังนั้น ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งที่ว่าจำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมหรือไม่ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าจำเลยใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อคดีอาญาถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษาลงโทษจำเลยก่อนที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีแพ่ง สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องคดีแพ่งย่อมมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 (มาตรา 168 เดิม)และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม คดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดวันที่ 28 เมษายน 2538 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2538 ยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความตามบทกฎหมายดังกล่าว