แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าและได้มีการขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุอยู่ในความดูแลของจำเลยที่2ต่อมาปี2512จำเลยที่2ได้ยื่นคำขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยก่อนที่จะออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงนั้นได้มีการรังวัดที่ดินพิพาทโดยให้เจ้าของที่ดินข้างเคียงมาระวังแนวเขตและได้มีประกาศตามประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อให้มีผู้คัดค้านแต่ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดมาคัดค้านทางกรมที่ดินได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงให้จำเลยที่2เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และได้มอบให้จำเลยที่1ใช้ประโยชน์ตลอดมาจึงถือได้ว่าจำเลยที่2ได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ตั้งแต่ปี2512แล้วโจทก์เพิ่งนำคดีมาฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้เมื่อวันที่24เมษายน2534ซึ่งพ้นกำหนดระยะเวลา1ปีนับแต่วันที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375วรรคสองนั้นเป็นบทบังคับเรื่องกำหนดเวลาสำหรับฟ้องหากไม่ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็หมดสิทธิฟ้องคือโจทก์หมดสิทธิครอบครองที่พิพาทอำนาจฟ้องเรียกคืนที่พิพาทก็ไม่มีฉะนั้นกำหนดเวลาตามมาตรา1375วรรคสองจึงเป็นระยะเวลาให้สิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินมือเปล่าไม่ใช่เรื่องอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับพวกเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ทะเบียนหน้า 84 เลขที่ 416/240หมู่ที่ 5 ตำบลสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมาเนื้อที่ 8 ไร่ 59.5 ตารางวา ทิศเหนือจดถนนมิตรภาพ โดยซื้อมาจากผู้อื่นและได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาตั้งแต่ปี 2502 เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2533 เจ้าหน้าที่แขวงการทางที่ 2 จังหวัดนครราชสีมาซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของจำเลยที่ 1 ได้เข้าไปทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์และปักหลักเขตบนที่ดินของโจทก์ด้านทิศเหนือบางส่วน เนื้อที่ 7 ไร่ 87.5 ตารางวา ตามอาณาเขตเส้นสีแดงในแผนที่เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 อ้างว่าเป็นที่ดินของจำเลยที่ 1ที่มีการขึ้นทะเบียนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงไว้แล้วเลขที่ 8506ในนามของจำเลยที่ 2 การกระทำของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1ดังกล่าวและการที่จำเลยทั้งสองนำที่ดินของโจทก์ไปขึ้นทะเบียนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยปกติสุข อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายขอให้พิพากษาแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของโจทก์กับพวกโดยชอบห้ามมิให้จำเลยทั้งสองและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวและบังคับให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ 8506หากจำเลยทั้งสองเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองดูแลและทำประโยชน์ด้วยการขุดบ่อน้ำลึกไว้ใช้ประโยชน์ในงานทางโดยใช้รดน้ำต้นไม้ ใช้เป็นวัตถุสำหรับสร้างและซ่อมทางหลวงสายมิตรภาพตลอดมา โดยได้สงวนไว้สำหรับใช้ประโยชน์ดังกล่าวตั้งแต่ปี 2502 และจำเลยที่ 2 ได้ขออนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินของรัฐไว้ตามระเบียบแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินดังกล่าวขึ้นทะเบียนราชพัสดุ แล้ว วันที่ 21 มีนาคม 2521 ก็ได้ยื่นคำขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมาได้ประกาศแจกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงและส่งประกาศดังกล่าวไปให้นายอำเภอสูงเนินปิดประกาศให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบแล้วไม่มีผู้ใดคัดค้านอธิบดีกรมที่ดินจึงได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2521 เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ไม่ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่ง นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติตามที่คู่ความไม่โต้แย้งว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าและได้มีการขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 ต่อมาปี 2512 จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยก่อนที่จะออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงนั้นได้มีการรังวัดที่ดินพิพาทโดยให้เจ้าของที่ดินข้างเคียงมาระวังแนวเขต และได้มีประกาศตามประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อให้มีผู้มาคัดค้านแต่ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดมาคัดค้าน ทางกรมที่ดินได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และได้มอบให้จำเลยที่ 1ใช้ประโยชน์ตลอดมา จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ ตั้งแต่ปี 2512 แล้วโจทก์เพิ่งนำคดีมาฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2534 ซึ่งพ้นกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่าโจทก์หมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่โจทก์ฎีกาว่าคดีนี้จำเลยมิได้ยกอายุความการแย่งการครอบครองขึ้นต่อสู้โจทก์ในคำให้การ ศาลจะอ้างอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าศาลหยิบยกเรื่องอายุความการถูกแย่งการครอบครองขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยน่าจะเป็นการคลาดเคลื่อนต่อหลักกฎหมายเพราะเป็นการพิจารณาคดีเกินไปกว่าประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ทั้งปัญหาเรื่องโจทก์ถูกแย่งการครอบครองนานเพียงใดน่าจะมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่เป็นปัญหาเรื่องอายุความโดยทั่วไปนั้นเห็นว่า การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง บัญญัติว่า”การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง” การที่กฎหมายใช้คำว่า”ต้องฟ้องภายในปีหนึ่ง” เป็นบทบังคับเรื่องกำหนดเวลาสำหรับฟ้องหากไม่ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็หมดสิทธิฟ้อง คือโจทก์หมดสิทธิครอบครองที่พิพาท อำนาจฟ้องเรียกคืนที่พิพาทก็ไม่มีฉะนั้นกำหนดเวลาตามมาตรา 1375 วรรคสอง จึงเป็นระยะเวลาให้สิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินมือเปล่า ไม่ใช่เรื่องอายุความดังที่โจทก์ฎีกา เพราะอายุความนั้นเป็นเรื่องขณะฟ้องสิทธิเรียกร้องยังมีอยู่ แต่ไม่ใช่สิทธินั้นบังคับเสียภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงขาดอายุความห้ามมิให้ฟ้อง เมื่อการฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินมือเปล่าเป็นสิทธิฟ้องร้องดังวินิจฉัยแล้ว และจำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ไม่ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่ง นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ซึ่งเป็นการยกข้อต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าโจทก์หมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน