แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโจทก์มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ยืมที่ ส. เป็นผู้กู้มิได้ฟ้องขอให้บังคับตามสัญญากู้ยืมเงินซึ่งมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง โจทก์จึงมีสิทธินำสืบข้อเท็จจริงสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ได้ว่า ตามสัญญากู้ยืมมีต้นเงินเพียง 60,000 บาท รวมดอกเบี้ยอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นเงิน 400,000 บาท ไม่เป็นการนำสืบหักล้างหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสัญญากู้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นปี 2527 นายประสบ สร้อยศรีลูกเลี้ยงของโจทก์ได้กู้ยืมเงินจากจำเลยทั้งสองไปจำนวน 30,000 บาทโจทก์ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 233ให้จำเลยยึดถือไว้นายประสบได้ผ่อนชำระหนี้จนเหลือจำนวน18,000 บาท เมื่อปี 2533 โจทก์ได้ตกลงขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวให้ผู้อื่นบางส่วน แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์จึงได้นำเงินจำนวน 30,000 บาทไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 233 ให้แก่โจทก์และให้จำเลยทั้งสองรับเงินจำนวน 30,000 บาท ที่วางไว้ณ สำนักงานวางทรัพย์ส่วนภูมิภาคที่ 1
จำเลยทั้งสองให้การว่า เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2532 โจทก์ได้กู้ยืมเงินจากจำเลยทั้งสองไปจำนวน 400,000 บาท และได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยทั้งสองยึดถือไว้ จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจรับเงินตามจำนวนที่โจทก์นำไปวางไว้ต่อสำนักงานวางทรัพย์ได้เพราะจำนวนเงินที่โจทก์นำไปวางไม่ถูกต้องตรงกับจำนวนเงินที่โจทก์กู้ยืมไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 60,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่จำเลย หากโจทก์ชำระหนี้หรือนำไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ให้จำเลยทั้งสองรับเงินดังกล่าวไป และคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 233 ให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เรียกนางอ่อน คงคำศักดิ์ ทายาทของโจทก์เข้าเป็นคู่ความแทน และนางสาววชิราภรณ์ ชาคริตานันท์ทายาทของจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองฎีกาข้อแรกว่า โจทก์เป็นหนี้เงินกู้ยืมจำเลยทั้งสองจำนวน 400,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.3หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังว่า พยานจำเลยทั้งสองจึงขัดต่อเหตุผลจึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โจทก์มีนายแพทย์สมศักดิ์เบิกความสนับสนุนสอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อ ข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าโจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยทั้งสองจำนวน 400,000 บาท และนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์พิพาทไปให้จำเลยทั้งสองยึดถือไว้เป็นประกัน
จำเลยทั้งสองฎีกาข้อสุดท้ายว่า ที่ศาลเชื่อว่าตามสัญญากู้ยืมมีต้นเงินเพียง 60,000 บาท รวมดอกเบี้ยอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นเงิน 400,000 บาท เป็นการรับฟังพยานโดยไม่ชอบเพราะเป็นการสืบหักล้างเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์พิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ยืมที่นายประสบเป็นผู้กู้ มิได้ฟ้องขอให้บังคับตามสัญญากู้ยืมเงินซึ่งมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง โจทก์จึงมีสิทธินำสืบข้อเท็จจริงสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ได้ ไม่เป็นการนำสืบหักล้างหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสัญญากู้เอกสารหมาย ล.3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
พิพากษายืน