คำสั่งคำร้องที่ 72/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า ผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีเป็นฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขใหม่จึงไม่รับฎีกาของผู้ร้อง
ผู้ร้องเห็นว่า ทรัพย์พิพาททั้ง 17 รายการที่โจทก์นำยึดเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง หรือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแต่เพียงผู้เดียว เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 315,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ด้วย แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ 17 รายการ รวมเป็นเงิน48,200 บาท โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึด นั้นเป็นของผู้ร้องมิใช่ของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ศาลสั่ง ปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนแก่ผู้ร้อง โจทก์ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 80)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วว่าทรัพย์ 17รายการที่โจทก์นำยึด เป็นทรัพย์ ที่หาได้มาในขณะที่ผู้ร้องกับจำเลย อยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม ผู้ร้องไม่มี สิทธิร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องฎีกาโต้เถียงอีกว่าทรัพย์สินดังกล่าว ผู้ร้องหามาได้ภายหลังจากแยกทางกันกับจำเลย จึงเป็นกรรมสิทธิ์ ของผู้ร้องแต่เพียงผู้เดียว เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขใหม่ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share