คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้ออ้างที่ว่าการเช่าได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ นั้น เป็นหน้าที่ของผู้เช่าที่จะต้องนำสืบให้รับฟังได้
การเช่าตึกอยู่อาศัยนั้นแม้ในชั้นแรกเช่าเพื่ออยู่อาศัย แต่ต่อมาได้ทำสัญญาเช่ากันใหม่ หลายครั้งและได้มีการขึ้นค่าเช่ากันเรื่อย ๆ มา จนเป็นที่เห็นได้ว่าวัตถุประสงค์แห่งการเช่าเปลี่ยนไปเป็นเพื่อประกอบธุระกิจหรือการค้าแล้ว การเช่านั้นก็ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ

ย่อยาว

คดี ๕ สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน ฟ้องโจทก์มีควาททำนองเดียวกันคืออ้างว่ารวมกัน ฟ้องโจทก์มีความทำนองเดียวกันคืออ้างว่าจำเลยเช่าตึกของโจทก์ประกอบการค้า บัดนี้ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว จึงบอกเลิกสัญญาเช่า ให้ออกจากที่เช่าจำเลยขัดขืน จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่าเช่าอยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองจากพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยเช่าเพื่ออยู่อาศัยจึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยเช่าเพื่อประกอบการค้า จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้ออ้างที่ว่าการเช่าได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ นั้นเป็นหน้าที่ของผู้เช่าคือฝ่ายจำเลยที่จะต้องนำสืบให้รับฟังได้
อนึ่งการเช่าแม้แต่แรกจะเป็นการเช่าอยู่อาศัยแต่ภายหลังปรากฎว่าการเช่าของจำเลยได้ทำกันขึ้นใหม่ถึงหลายครั้ง และได้มีการขึ้นค่าเช่ากันเรื่อย ๆ มา ฉะนั้นถ้าหากภายหลังเป็นที่เห็นได้ว่า วัตถุประสงค์แห่งการเช่าเปลี่ยนไปเป็นเพื่อประกอบธุระกิจหรือการค้าแล้ว การเช่านั้นก็ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองแล้วศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าการเช่าของจำเลยทุกรายเป็นการเช่าเพื่อประกอบการค้า
จึงพิพากษายืน

Share