คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2297/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การแก้ไขคำให้การนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่า ข้อความที่ขอแก้ไขใหม่จะต้องเกี่ยวกับคำให้การเดิมหรือข้ออ้างเดิมคงบัญญัติห้ามเฉพาะเรื่องคำฟ้องเท่านั้น ฉะนั้น การแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ จะเป็นการยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่กล่าวแก้ข้อหาของโจทก์ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคำให้การเดิมหรือไม่ จึงไม่สำคัญ
แม้ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยแต่ศาลฎีกาสั่งรับหากปรากฏว่าข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในท้องสำนวน พอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นสืบพยานฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การเพิ่มเติมอีก
โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินมีโฉนดที่โจทก์ครอบครอง โดยอ้างว่าเป็นของโจทก์รวม 3 ส่วน ในจำนวน 6 ส่วนหรือเท่ากับครึ่งหนึ่งของโฉนด แม้มิได้ขอเจาะจงว่าที่ดินส่วนใดเป็นของโจทก์ แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่ซึ่งคู่ความนำชี้เนื้อที่ประมาณ 1 ใน 4 ของโฉนดเป็นของโจทก์ศาลย่อมพิพากษาว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงเป็นของโจทก์ได้หาเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือเกินคำฟ้องไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยต่างเป็นทายาท มีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาทโฉนดที่ 991 และต่างแบ่งครอบครองเป็นส่วนสัดเกินกว่า 10 ปีแล้วขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกโฉนดพิพาทให้โจทก์ที่ 1 ได้รับ 2 ส่วน โจทก์ที่ 2 และจำเลยได้รับคนละหนึ่งส่วน ถ้าแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดที่ดินพิพาทแบ่งเงินกันตามส่วน

จำเลยต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย จำเลยครอบครองปรปักษ์มาเกิน 10 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ

ก่อนนัดชี้สองสถาน จำเลยร้องขอเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์ทั้งสองเป็นทายาทมีสิทธิในที่ดินตามฟ้องเพียง 35 เศษหนึ่งส่วนสามตารางวาเท่านั้น นอกนั้นตกได้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และนายมูล

ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง โดยเห็นว่า มิใช่ประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องเดิม

คดีเฉพาะจำเลยที่ 2, 3 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 4 ส่วนของที่ดินทั้งหมดเป็นของโจทก์

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาสั่งอนุญาตให้จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การได้นั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การแก้ไขคำให้การนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าข้อความที่ขอแก้ไขใหม่จะต้องเกี่ยวกับคำให้การเดิมหรือข้ออ้างเดิม ฉะนั้น การแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การจะเป็นการยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ กล่าวแก้ข้อหาของโจทก์ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคำให้การเดิมหรือไม่ หาสำคัญไม่ ข้อห้ามที่ว่าต้องเกี่ยวกับฟ้องเดิม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 วรรคท้าย และมาตรา 180 ข้อ 1 นั้น บัญญัติเฉพาะเรื่องคำฟ้องเท่านั้น ไม่มีข้อความกล่าวถึงคำให้การด้วย จะแปลเลยไปว่าคำให้การที่แก้ก็ต้องเกี่ยวกับคำให้การเดิมนั้น เป็นการแปลเกินความในตัวบทไปเหตุนี้ จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การได้ ตามมาตรา 179(3)

มีปัญหาต่อไปว่า เฉพาะคดีนี้ จำเป็นที่ศาลฎีกาจะต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานของคู่ความตามประเด็นในคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยที่ 1 ที่ศาลฎีกาสั่งรับไว้หรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในท้องสำนวนพอแก่การวินิจฉัยแล้ว ไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นสืบพยานฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การเพิ่มเติมอีก

ข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลพิพากษาเกินคำขอของโจทก์นั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินโฉนดที่ 991 ที่โจทก์ครอบครองมา โดยอ้างว่าเป็นของโจทก์ทั้งสองรวม 3 ส่วนใน 6 ส่วนหรืออีกนัยหนึ่งก็คือโจทก์ขอแบ่งส่วนในเนื้อที่ครึ่งหนึ่งของโฉนดที่พิพาท แต่ปรากฏตามแผนที่พิพาทซึ่งคู่ความรับรองกันมาแล้วนั้นที่พิพาทภายในเส้นสีแดงมีเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 4 ของโฉนดพิพาท ฉะนั้น การที่ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงเป็นของโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าศาลพิพากษาเกินไปกว่าคำฟ้อง

ในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินกันครอบครองเป็นส่วนสัดกล่าวคือ โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทตามแผนที่ที่นำชี้ โดยต่างสืบสิทธิครอบครองมาจากนางวอนนางถม ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าครอบครองปรปักษ์ที่พิพาทมาเกิน 10 ปีฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share