แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
มารดาโจทก์และ ห. เป็นผู้สู่ขอบุตรสาวของผู้ร้องให้แต่งงานกับจำเลย ผู้ร้องจึงเรียกทองคำและเรือนหอเป็นค่าสินสอด โจทก์รับเป็นผู้จัดสร้างเรือนหอให้แก่จำเลยและบุตรสาวของผู้ร้อง โดยต่อเติมเรือนหอออกไปจากบ้านของผู้ร้องเพื่อให้จำเลยและบุตรสาวของผู้ร้องใช้อยู่อาศัยหลังแต่งงาน ซึ่งตามประเพณีเรือนหอนั้นสร้างให้เพื่อตอบแทนบิดามารดาฝ่ายหญิงที่ให้บุตรสาวแต่งงาน เรือนหอจะสร้างตรงไหนอย่างไรขึ้นอยู่กับบิดามารดาของฝ่ายหญิง เรือนหอจึงเป็นสินสอดที่ฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นเจ้าบ่าวมอบแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นบิดามารดาเจ้าสาว เรือนหอย่อมตกเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องขอให้ปล่อยเรือนหอที่โจทก์ยึดไว้ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า บ้านที่โจทก์นำยึดเป็นทรัพย์สินของผู้ร้อง เมื่อ พ.ศ. 2527 จำเลยแต่งงานกับบุตรสาวของผู้ร้องผู้ร้องจึงต่อเติมบ้านบางส่วนให้จำเลยและบุตรสาวอาศัยอยู่ด้วยกันขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า บ้านที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้เป็นของจำเลย จำเลยปลูกบ้านหลังดังกล่าวเป็นเรือนหออยู่อาศัยกับภริยาในที่ดินของผู้ร้องโดยผู้ร้องยินยอมให้ปลูกสร้างลงในที่ดินได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองในเวลาตรวจฎีกาว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์เบิกความว่าบ้านจำเลยติดกับบ้านของผู้ร้องเพราะผู้ร้องต้องการให้ทำอย่างนั้นและโจทก์เบิกความตอบทนายผู้ร้องถามค้านว่า หากรื้อบ้านเลขที่ 13/1ของผู้ร้องแล้วบ้านพิพาทจะอยู่ไม่ได้ นายเนตร นาคพรม พยานโจทก์เบิกความว่าบ้านพิพาทซื้อไม้จากบ้านแม่สามาสร้าง พยานเป็นผู้ไปรื้อมา มีพยาน จำเลย ผู้ร้อง และบุคคลอื่นอีกไปด้วยกันส่วนโจทก์ไม่ได้ไป โดยผู้ร้องเป็นผู้ถือหนังสือไปให้คนที่บ้านแม่สาและตอบทนายโจทก์ถามติงว่า สร้างเรือนหอติดบ้านของผู้ร้องจึงฟังได้ว่าการสร้างบ้านพิพาทเป็นการต่อเติมออกไปจากบ้านของผู้ร้องเป็นการเจือสมกับที่ผู้ร้องนำสืบว่าบ้านผู้ร้องส่วนที่ให้จำเลยและบุตรสาวของผู้ร้องอยู่อาศัยอยู่นั้นเป็นบ้านหลังเดียวกันโดยทำการต่อเติมให้แล้วเสร็จ เมื่อ พ.ศ. 2527 และใช้เลขที่บ้านเดียวกันคือเลขที่ 13/1 หมู่ 2 ซึ่งตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ร.1 ระบุว่าเป็นบ้านของผู้ร้อง นางกุหลาบ นาคพรมพยานโจทก์ซึ่งเป็นมารดาของทั้งโจทก์และจำเลยเบิกความว่า พยานไปสู่ขอบุตรสาวผู้ร้องกับนางหัน โดยผู้ร้องเรียกทอง 2 บาทและเรือนหอ 1 หลัง ผู้ร้องให้สร้างเรือนหอต่อจากบ้านผู้ร้องไปและตอบทนายผู้ร้องถามค้านว่า ค่าใช้จ่ายในการที่จำเลยแต่งงานนั้นใช้ไปประมาณ 60,000 บาทเศษ เงินดังกล่าวเป็นเงินของโจทก์ที่ช่วยออกให้จำเลย พยานไม่ทราบว่ากู้เงินไปเท่าไร รู้แต่ว่ากู้ก่อนแต่งงาน นางหัน บวบมี พยานโจทก์ที่อ้างว่าเป็นแม่สื่อไปสู่ขอบุตรของผู้ร้องเบิกความว่า ฝ่ายผู้ร้องและฝ่ายพยานตกลงกันว่าเอาทองหมั้น 2 บาท และเรือนหอ 1 หลัง ให้สร้างติดบ้านของผู้ร้องเมื่อปลูกเรือนเสร็จแล้วจึงให้แต่งงาน และพยานโจทก์ปากนี้ตอบทนายผู้ร้องถามค้านไว้ด้วยว่าตามประเพณีเรือนหอนั้นสร้างให้เพื่อตอบแทนที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงให้ลูกสาวแต่งงาน เรือนหอจะสร้างตรงไหนอย่างไร ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ของฝ่ายผู้หญิง จะเห็นได้ว่าความหมายตามที่นางหันพยานโจทก์เบิกความเกี่ยวกับเรือนหอก็คือเป็นสินสอดที่ฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายเจ้าบ่าวมอบแก่บิดามารดาของเจ้าสาว จากพยานหลักฐานดังกล่าวข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้จัดสร้างเรือนหอให้แก่จำเลยและบุตรสาวของผู้ร้องเรือนส่วนที่จำเลยและบุตรสาวของผู้ร้องใช้อยู่อาศัยหลังแต่งงานย่อมตกเป็นของผู้ร้องเพราะมีลักษณะเป็นสินสอดซึ่งต้องตกได้แก่ผู้ร้อง มิได้เป็นทรัพย์ของจำเลยที่โจทก์จะบังคับคดียึดไปขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นผู้ร้องจึงร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์ยึดไว้ได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์ยึดนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน