แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกลับมากระทำความผิดโดยให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจะจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งรายหนึ่ง เป็นการทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างไม่บริสุทธิ์และไม่ยุติธรรมต่อผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งรายอื่น ทั้งยังเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติอีกด้วย ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้จำเลยทั้งสองนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เนื่องจากมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2542 กำหนดให้วันที่ 4 มีนาคม 2543 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาและกำหนดให้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยจังหวัดยโสธรมีสมาชิกวุฒิสภาได้จำนวน 2 คนและมีผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งจำนวน 15 คน เมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2543 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองร่วมกันให้เงินจำนวน 250 บาท แก่นายเสาร์ ธรรมปัตย์ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจะจูงใจให้นายเสาร์ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่นางประภาศรี สุฉันทบุตร ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดยโสธร หมายเลข 5อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลบุ่งค้า อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เจ้าพนักงานยึดได้ธนบัตรฉบับละ50 บาท จำนวน 5 ฉบับ รวมเป็นเงิน 250 บาท ซึ่งจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาพ.ศ. 2541 มาตรา 44, 101 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 และริบธนบัตรของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541 มาตรา 44(1),101 ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกคนละ 1 ปี และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสองมีกำหนดคนละ 10 ปี ริบธนบัตรของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นเจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง ต้องปฏิบัติหน้าที่และประพฤติตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ชาวบ้าน แต่จำเลยทั้งสองกลับมากระทำความผิดเสียเอง โดยให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจะจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งรายหนึ่ง เป็นการทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างไม่บริสุทธิ์และไม่ยุติธรรมต่อผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งรายอื่น ทั้งยังเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติอีกด้วยตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้จำเลยทั้งสองนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้วฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปีก่อนลดโทษนั้น หนักเกินไป สมควรกำหนดโทษจำคุกจำเลยทั้งสองเสียใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่สภาพความผิด”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปีเมื่อลดโทษให้จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คนละกึ่งหนึ่งแล้ว คงให้จำคุกจำเลยทั้งสองไว้มีกำหนดคนละ6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3