แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ส. ยืมเงินจำเลยไปโดยมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับพิพาทให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ แต่ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือ ดังนี้ แม้ ส. จะยังไม่ได้ชำระหนี้แก่จำเลย จำเลยก็ไม่อาจฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ เมื่อหนี้ที่จำเลยอาศัยเป็นมูลเหตุให้ยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับพิพาทไม่อาจฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นไว้เป็นประกันหนี้ต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 451 ตำบลเขื่อน อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคามแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 541 (ที่ถูก 451) ตำบลเขื่อน อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ของนางเสาร์ ธรรมโรเวช ไว้จริงทั้งนี้เพราะเมื่อเดือนธันวาคม 2524 นายสา ธรรมโรเวช กับนางเสาร์ได้กู้ยืมเงินจำเลยไปจำนวน 10,000 บาท แล้วมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 451 และเลขที่ 2701 ตำบลเดียวกันของนางเสาร์ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ ต่อมานางเสาร์ถึงแก่กรรมลงโดยยังไม่ได้ชำระหนี้ให้จำเลย ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางเสาร์ชำระหนี้จำนวน10,000 บาท ให้แก่จำเลย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่จำเลยกล่าวอ้างว่านางเสาร์กู้ยืมเงินจำเลย 10,000 บาทนั้น เป็นการกล่าวอ้างขึ้นมาลอย ๆ จำเลยไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือมาแสดงขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางเสาร์ ธรรมโรเวช ตามคำสั่งศาลจำเลยครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 451ตำบลเขื่อน อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ของนางเสาร์ไว้
คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาประการแรกว่า นางเสาร์ ธรรมโรเวชกู้ยืมเงินจำเลยหรือไม่ จำเลยมีตัวจำเลยเบิกความว่า นางเสาร์ได้กู้ยืมเงินจำเลยไป 6,000 บาท คิดดอกเบี้ย 4,000 บาท เพื่อนำเงินไปซื้อบ้านหลังใหม่ โดยไม่ได้ทำหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือไว้ คงมอบแต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์พิพาท และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับอื่นอีก 2 ฉบับ ให้ยึดถือไว้ ซึ่งความข้อนี้มีนายช่วง ดวงพิมพา อดีตผู้ใหญ่บ้านพยานจำเลยเบิกความสนับสนุน และนายช่วงยังเบิกความด้วยว่าที่ไม่ได้ทำหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือกันไว้เพราะเห็นว่าเป็นพี่น้องกันนายช่วงเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านและถือว่าเป็นพยานคนกลาง คำเบิกความนายช่วงมีน้ำหนักรับฟังได้ โดยที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นถือเป็นเอกสารสิทธิที่สำคัญ หากนางเสาร์ไม่มีหนี้เกี่ยวพันกับจำเลยจริงก็ไม่เชื่อว่าจะมอบให้จำเลยยึดถือไว้ พฤติการณ์ดังกล่าวประกอบพยานบุคคลของจำเลยดังกล่าวแล้วข้างต้นน่าเชื่อว่านางเสาร์เคยกู้ยืมเงินจำเลยจริง ฝ่ายโจทก์คงมีตัวโจทก์แต่เพียงปากเดียวเบิกความลอย ๆ ว่าไม่ทราบเรื่องที่นางเสาร์ไปกู้ยืมเงินจำเลย ส่วนข้อที่โจทก์อ้างว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์พิพาทไปอยู่ที่จำเลยเพราะนางเสาร์เคยไปนอนป่วยและรักษาตัวที่บ้านจำเลยนั้น โจทก์ก็เพิ่งกล่าวอ้างขึ้นในชั้นฎีกาพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานจำเลย ฟังว่านางเสาร์ ธรรมโรเวชเคยกู้ยืมเงินจำเลยไปจริง
ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปมีว่า จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวไว้หรือไม่ ปรากฏตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่านายสา นางเสาร์สามีภริยาได้ยืมเงินจำเลย 10,000 บาทนั้นไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือซึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคแรก บัญญัติว่า”การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” เมื่อหนี้ที่จำเลยอาศัยเป็นมูลเหตุให้ยึดถือ น.ส. 3ก. ฉบับพิพาทไม่อาจฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ ฉะนั้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่กล่าวข้างต้นไว้เป็นประกันหนี้ต่อไปได้เทียบได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 229/2532 ประชุมใหญ่ ระหว่างพันตรีโสภณ เกิดนุ่ม โจทก์นายบรรเจิด ชลวิจารย์ จำเลย”
พิพากษาแก้ ให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.) เลขที่ 451 หมู่ที่ 4 ตำบลเขื่อน อำเภอโกสุมพิสัยจังหวัดมหาสารคาม ให้โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์