แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำโดยประมาทขับรถล้ำเส้นแบ่งกลางถนนเข้าไปชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับในช่องเดินรถของผู้ตายแต่อย่างใด การที่โจทก์ร่วมนำสืบไปในทำนองเช่นนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกคำฟ้องไม่อาจรับฟังได้ ผู้ตายเป็นฝ่ายขับรถจักรยานยนต์ล้ำเส้นแบ่งกลางถนนเข้ามาชนกับรถยนต์กระบะที่จำเลยขับในช่องเดินรถของจำเลยเมื่อไม่ปรากฎจากการนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้อง ย่อมไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2536 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์กล่าวคือ จำเลยขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นชุมชน จำเลยเห็นอยู่แล้วว่าขณะนั้นมีนายนพดล โม่งคำ กำลังขับรถจักรยานยนต์แล่นสวนทางมา จำเลยควรลดความเร็วลงและขับรถยนต์ให้ชิดขอบทางด้านซ้ายเพื่อมิให้เฉี่ยวชนกับรถคันอื่น แต่จำเลยยังคงขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับพุ่งเข้าเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่นายนพดลขับจนแฉลบล้มได้รับความเสียหาย และนายนพดลถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลจรเข้ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522มาตรา 43, 157
จำเลยให้การปฎิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางบวร โม่งคำ มารดาของนายนพดลผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางบวรเข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำคุก 2 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า ตามวันเวลาและสถานที่ที่โจทก์กล่าวในฟ้องจำเลยขับรถยนต์กระบะไปตามถนนมะลิวัลย์จากอำเภอเมืองขอนแก่นมุ่งหน้าไปทางอำเภอหนองเรือ เมื่อถึงสถานที่เกิดเหตุเกิดชนกับรถจักรยานยนต์ที่นายนพดล โม่งคำ ผู้ตายขับสวนทางมาเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยได้กระทำโดยประมาทหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ตายเป็นฝ่ายขับรถจักรยานยนต์ล้ำเส้นแบ่งกลางถนนเข้าไปชนกับรถยนต์กระบะของจำเลยในช่องเดินรถของจำเลยและเนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำโดยประมาทขับรถล้ำเส้นแบ่งกลางถนนเข้าไปชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับในช่องเดินรถของผู้ตายแต่อย่างใด การที่โจทก์ร่วมนำสืบไปในทำนองเช่นนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกคำฟ้อง ย่อมไม่อาจรับฟังได้ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ตายเป็นฝ่ายขับรถจักรยานยนต์ล้ำเส้นแบ่งกลางถนนเข้ามาชนกับรถยนต์กระบะที่จำเลยขับในช่องเดินรถของจำเลยแล้ว เมื่อไม่ปรากฎจากการนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องมาแต่อย่างใดแล้วย่อมไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง