คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2291/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินของจำเลยร่วม โจทก์ฟ้องว่าเป็นของโจทก์ ขอให้ห้ามจำเลยขัดขวางมิให้โจทก์ออก น.ส.3 จำเลยร่วมมีส่วนได้เสีย ขอเข้าเป็นจำเลยร่วมได้
ขณะจำเลยเบิกความเป็นพยาน จำเลยร่วมได้นั่งฟังคำเบิกความอยู่ด้วย ถ้าศาลเห็นว่าคำเบิกความของจำเลยร่วมเป็นพยาน เป็นที่เชื่อฟังได้ ศาลไม่ถือว่าคำพยานนั้นผิดระเบียบก็ได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องที่โจทก์ขอห้ามจำเลย มิให้ขัดขวางการออก น.ส.3 ของโจทก์ โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงคงฟังได้ว่าจำเลยร่วมเคยทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้โจทก์ ซึ่งพินัยกรรมจะมีผลต่อเมื่อผู้ทำพินัยกรรมถึงแก่กรรม เมื่อปรากฏว่าขณะมีข้อพิพาท จำเลยร่วมยังมีชีวิตอยู่และได้เพิกถอนพินัยกรรมแล้ว การที่โจทก์ได้เข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทและให้นายเป็งผู้ใหญ่บ้านเช่าที่พิพาททำนานั้น เชื่อว่าจำเลยร่วมให้โจทก์ ซึ่งเป็นบุตรอาศัยเข้าทำกินและจัดการแทน ซึ่งถือว่าเป็นการครอบครองแทนจำเลยร่วมมารดา โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองในที่พิพาท และไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยตามคำขอได้

ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางเอื้อยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่ถูกต้อง เพราะโจทก์ฟ้องจำเลยผู้เดียวที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาท หากจำเลยร่วมเสียหายต้องฟ้องโจทก์เป็นคดีใหม่นั้น เห็นว่าจำเลยร่วมอ้างว่าเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาทและขายให้จำเลย ย่อมถือได้ว่าจำเลยร่วมเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี จึงชอบที่จะร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) ส่วนข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่าขณะที่จำเลยเบิกความเป็นพยาน จำเลยร่วมได้ฟังการเบิกความของจำเลยและจำเลยไม่ส่งสำเนาเอกสารการเสียภาษีบำรุงท้องที่และพินัยกรรมที่อ้างเป็นพยานให้แก่โจทก์ คำเบิกความของจำเลยร่วมและเอกสารดังกล่าวรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่าการที่พยานเบิกความโดยได้ฟังคำพยานคนก่อนเบิกความมาแล้ว ถ้าศาลเห็นว่าคำเบิกความเป็นที่เชื่อฟังได้ หรือมิได้เปลี่ยนแปลงไปโดยได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อนหรือไม่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลงไป ศาลจะไม่ฟังว่าคำเบิกความเช่นว่านี้เป็นผิดระเบียบก็ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 114 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังนั้นจึงเป็นดุลพินิจของศาลที่จะรับฟังคำเบิกความของจำเลยร่วมได้ และกรณีที่จำเลยไม่ได้ส่งสำเนาใบเสร็จเสียภาษีบำรุงท้องที่และทะเบียนพินัยกรรมให้แก่โจทก์นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยร่วมมีสิทธิครอบครองและไม่ได้ยกให้โจทก์ เพียงแต่ทำพินัยกรรมระบุยกให้ซึ่งจะมีผลต่อเมื่อจำเลยร่วมถึงแก่กรรมเท่านั้น ซึ่งโจทก์เองก็รับว่าจำเลยร่วมได้ทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้ตนจริงเช่นนี้ แม้จะไม่รับฟังเอกสารดังกล่าว ก็ไม่ทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังได้เปลี่ยนแปลง”

พิพากษายืน

Share