แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จะถือว่าจำเลยซึ่งเป็นพนักงานขององค์การค้าของคุรุสภาเป็น “พนักงาน” ตามความหมายแห่ง พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502หรือไม่ จะต้องได้ความว่า ทุนทั้งหมดหรือทุนเกินร้อยละห้าสิบขององค์การค้าของคุรุสภาเป็นของรัฐ เมื่องานหรือทุนที่ดำเนินการองค์การค้าของคุรุสภาเป็นของคุรุสภาซึ่งเป็นนิติบุคคล มิใช่เป็นของรัฐ จำเลยจึงไม่เป็น “พนักงาน” ตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติที่กล่าวข้างต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานขององค์การค้าของคุรุสภาตำแหน่งประจำแผนก ทำหน้าที่เก็บเงิน สังกัดแผนกการเงิน ฝ่ายการบัญชีซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีทุนทั้งหมดเป็นของรัฐ จำเลยได้รับมอบใบเสร็จรับเงินขององค์การค้าของคุรุสภาให้ไปเก็บเงินรวม ๕ ฉบับ แล้วจำเลยได้เบียดบังยักยอกเอาเงินที่เก็บมาได้ไว้บางส่วนเป็นจำนวนเงิน ๓๒,๘๑๔ บาทไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต และในการนี้จำเลยได้ทำปลอมสำเนาใบรับเงินดังกล่าว อันเป็นเอกสารสิทธิว่าได้รับเงินน้อยกว่าจำนวนที่รับจริง แล้วจำเลยนำใบเสร็จรับเงินที่ทำปลอมไปใช้แสดงต่อหม่อมจารุวัลย์ สวัสดิวัฒน์ หัวหน้าแผนกการเงินขององค์การค้าของคุรุสภาว่าได้รับเงินตามจำนวนที่ทำปลอมนั้น โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่องค์การค้าของคุรุสภา ฯลฯ หรือประชาชน อันเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๘, ๓๔๑พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๔ ริบของกลาง และให้จำเลยใช้เงินคืน ๓๒,๘๑๔ บาท แก่องค์การค้าของคุรุสภา
จำเลยให้การรับว่าได้กระทำการดังกล่าวในคำฟ้องจริง แต่มิได้มีเจตนายักยอก จำเลยไม่มีฐานะเป็นพนักงานตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า องค์การค้าของคุรุสภาเป็นองค์การของรัฐจำเลยเป็นพนักงานขององค์การ จำเลยทำปลอมใบเสร็จรับเงินใช้ใบเสร็จรับเงินปลอมและยักยอกเงินขององค์การค้าของคุรุสภาไป ๓๒,๘๑๔ บาท พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๘, ๓๕๒ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๔ ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๔ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ จำคุก ๕ ปี ลดโทษให้ตามมาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๒ ปี ๖ เดือนริบของกลาง จำเลยได้ใช้เงินคืนแล้ว จึงให้ยกคำขอข้อให้จำเลยคืนหรือใช้เงินคืน
จำเลยอุทธรณ์ว่า องค์การค้าของคุรุสภาไม่ใช่เป็นองค์การของรัฐจำเลยไม่ได้เป็นพนักงานขององค์การ ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐบาลไม่มีทุนในองค์การค้าของคุรุสภา จำเลยจึงไม่เป็นพนักงานตามความหมายของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒และไม่สมควรรอการลงโทษ พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๘, ๓๕๒ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๖๘ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุดตามมาตรา ๙๑ จำคุก ๔ ปี ลดโทษให้ตามมาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๒ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกน้อยลงและรอการลงโทษ
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วได้ความว่า จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมหนังสือใช้หนังสือปลอมและยักยอกดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาที่ว่าจำเลยจะมีความผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒หรือไม่ ตามคำวิเคราะห์ศัพท์คำว่า “พนักงาน” ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จะถือว่าจำเลยเป็นพนักงานจะต้องได้ความว่า ทุนทั้งหมดหรือทุนเกินกว่าร้อยละห้าสิบขององค์การค้าของคุรุสภาเป็นของรัฐทางพิจารณาได้ความว่า คุรุสภาตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติครู พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นสภาในกระทรวงศึกษาธิการเป็นนิติบุคคล อาจมีรายได้จากเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดินเงินค่าบำรุงและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เงินผลประโยชน์ต่าง ๆจากการลงทุนและการจัดตั้งองค์การจัดหาผลประโยชน์ของคุรุสภาและทรัพย์สินอย่างอื่น ๆ ซึ่งบุคคลอุทิศให้คุรุสภาและภายใต้บังคับแห่งเงื่อนไข ข้อบังคับ หรือวัตถุประสงค์ซึ่งผู้อุทิศกำหนดไว้ ให้คุรุสภารักษาและจัดการตามที่เห็นสมควรแก่ประโยชน์แห่งคุรุสภา และได้ความจากคำเบิกความของนายกำธร สถิรกุลซึ่งเป็นผู้อำนวยการองค์การค้าของคุรุสภาพยานโจทก์ต่อไปว่ากรรมการอำนวยการของคุรุสภาได้จัดตั้งองค์การค้าของคุรุสภาขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ใช้ทุนของคุรุสภา เป็นหน่วยงานหน่วยหนึ่งของคุรุสภาเริ่มแรกใช้เงินซึ่งยืมมาจากกระทรวงศึกษาธิการ แต่ได้ใช้คืนหมดเมื่อ ๑๐ ปีกว่ามาแล้ว ผลกำไรส่วนหนึ่งส่งให้แก่คุรุสภาอีกส่วนหนึ่งเก็บไว้ขยายงาน ก่อนตั้งองค์การค้าของคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการได้โอนงานโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวชฯสังกัดกรมอาชีวศึกษา กับร้านศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ สังกัดกรมสามัญศึกษาให้คุรุสภาด้วย คุรุสภาจึงเอางานทั้งสองนี้มาร่วมกันตั้งเป็นองค์การค้าของคุรุสภาขึ้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อกระทรวงศึกษาธิการโอนงานโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวชกับร้านศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ให้แก่คุรุสภาทรัพย์สินที่โอนมาก็ตกเป็นของคุรุสภา การที่คุรุสภาเอาเงิน ๒ งานที่ได้รับโอนมาดำเนินการจัดตั้งเป็นองค์การค้าของคุรุสภาขึ้นใหม่ งานหรือทุนที่ดำเนินการจึงเป็นของคุรุสภาซึ่งเป็นนิติบุคคล มิใช่เป็นของรัฐจำเลยจึงไม่เป็น “พนักงาน”ตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ การที่จำเลยเบียดบังยักยอกเอาเงินไปจึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นพนักงานทุจริตตามพระราชบัญญัติดังกล่าวฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยน้อยลงและรอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยกระทำผิดต่างกรรม ต่างวาระกันถึง ๕ ครั้ง และการที่กระทำก็เป็นความผิดร้ายแรง ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมากระทงเดียวและลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง เป็นการปรานีแก่จำเลยมากแล้ว เห็นว่ายังไม่มีเหตุสมควรที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ตามฎีกาของจำเลยอีก
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์จำเลย