คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีที่มีจำเลยหลายคนซึ่งศาลรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันแม้จำเลยสำนวนคดีหนึ่งฎีกา แต่จำเลยอีกสำนวนคดีหนึ่งไม่ได้ฎีกาขึ้นมาก็ตาม เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองสำนวนคดีกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นอันถือว่าเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยสำนวนคดีที่ไม่ได้ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพิพากษารวมกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1544/2532 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้ฎีกา คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 2 คน โดยมีเจตนาฆ่าได้ร่วมกันชกต่อยและใช้อาวุธปืนยิงนายณรงค์ กำแพงแก้ว 1 นัด ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83 ให้จำคุก 20 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายณรงค์ กำแพงแก้วผู้ตายถึงแก่ความตาย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยร่วมเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายหรือไม่ โจทก์มีนายประจวบ สมพงศ์ เป็นพยานเบิกความตอบโจทก์ว่า ก่อนเกิดเหตุพยานพบจำเลยกับพวก 2 คน อยู่ในงานแต่งงาน ขณะพยานกับผู้ตายและนายประจวบ กำแพงแก้ว เดินออกจากบ้านงานพบจำเลยกับพวก 2 คน ยืนอยู่ข้างทาง นายวิชัย(จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1544/2532 ของศาลชั้นต้น ซึ่งถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก คดีถึงที่สุดแล้ว) พวกจำเลยเข้ามาชกต่อยผู้ตายจึงเกิดการชกต่อยกันระหว่างผู้ตายกับนายวิชัยขณะนั้นจำเลยตะโกนว่ายิงเลย ๆ แล้วมีเสียงปืน 1 นัด ดังมาจากในป่านอกงาน กระสุนปืนถูกผู้ตายล้มลง แล้วจำเลยกับพวกหลบหนีไปแต่พยานตอบทนายจำเลยว่าตอนที่ผู้ตายถูกยิงนั้น ผู้ตายกับนายวิชัยเลิกชกต่อยกันแล้ว เพราะนายสมพร กำแพงแก้ว เข้ามาห้ามให้เลิกชกต่อยกัน หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที เสียงปืนจึงดังขึ้น ขณะเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุ พยานและนายสมพรอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แต่ไม่ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าใครเป็นคนร้าย และนายสมพรเป็นพยานเบิกความว่า ขณะผู้ตายเดินออกจากบ้านงานเพียงคนเดียว นายวิชัยเข้าไปชกต่อยผู้ตายส่วนจำเลยนั่งดื่มสุราอยู่ในบ้านงาน พยานเข้าไปห้ามผู้ตายกับนายวิชัยให้แยกออกจากกัน หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที มีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด กระสุนปืนถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุและทำแผนที่โดยพยานเป็นผู้นำชี้เห็นว่า คำเบิกความของนายประจวบ สมพงศ์ ในตอนแรกและตอนหลังแตกต่างกันในสาระสำคัญ กล่าวคือตอนแรกเบิกความว่า จำเลยร้องบอกคนร้ายให้ยิงผู้ตาย แต่ตอนหลังกลับเบิกความในทองนอง ว่า จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้ายที่ยิงผู้ตายเช่นเดียวกับคำเบิกความของนายสมพร จึงต้องพิเคราะห์ต่อไปว่าคำเบิกความตอนใดของนายประจวบ สมพงศ์ มีน้ำหนักน่าเชื่อมากกว่ากัน เห็นว่านายประจวบ สมพงศ์ ได้ยินจำเลยร้องบอกคนร้ายให้ยิงผู้ตายในขณะผู้ตายชกต่อยกับนายวิชัยจริง เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจไปที่เกิดเหตุ นายประจวบ สมพงศ์ จะต้องรีบแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยและนายวิชัยร่วมเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตาย เพราะนายประจวบ สมพงศ์เป็นเพื่อนผู้ตาย ทั้งรู้จักจำเลยและนายวิชัยก่อนเกิดเหตุ การที่นายประจวบ สมพงศ์ ไม่ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจไม่ระบุชื่อจำเลยและนายวิชัยร่วมเป็นคนร้ายในแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 บันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.7และในช่องผู้ที่ทำให้ตายในรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง คงเป็นเพราะนายประจวบ สมพงศ์ ทราบดีว่าจำเลยและนายวิชัยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้ายที่ยิงผู้ตายมาตั้งแต่ต้น มิใช่นายประจวบบิดเบือนความจริงเพื่อช่วยเหลือจำเลยและนายวิชัยดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแต่อย่างใด คำเบิกความตอนหลังของนายประจวบสมพงศ์ และคำเบิกความของนายสมพรที่ว่าจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้ายที่ยิงผู้ตายจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อมากกว่าคำเบิกความตอนแรกของนายประจวบ สมพงศ์ ที่ว่าจำเลยร้องบอกคนร้ายให้ยิงผู้ตาย เนื่องจากสอดคล้องกับพยานเอกสารดังกล่าวแล้วพยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกับนายวิชัยร่วมเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตาย คงรับฟังได้แต่เพียงว่านายวิชัยทำร้ายผู้ตายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยและนายวิชัยในข้อหาฆ่าผู้อื่นมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังขึ้น สำหรับนายวิชัยแม้จะไม่ได้ฎีกาขึ้นมา แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยและนายวิชัยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและถือว่าเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงนายวิชัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องคดีนี้ และพิพากษาให้แก้คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1544/2532 ของศาลชั้นต้นเป็นว่า นายวิชัยหรือสินชัย หรือ ชัย ทรัพยาสาร หรือ ทรัพย์ยาสาร จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ลงโทษจำคุก 1 เดือน”

Share