แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำร้องขออนุญาตยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะยื่นฎีกาแล้วของจำเลยที่อ้างว่าจำเลยย้ายออกจากบ้านที่เจ้าพนักงานศาลไปปิดหมาย โดยให้ญาติเป็นผู้ดูแลบ้านดังกล่าว แต่จำเลยไม่ได้โต้แย้งว่าการส่งหมายนัดไม่ชอบ เป็นการยอมรับว่าการส่งหมายนัดโดยวิธีปิดหมายชอบแล้ว เพียงแต่จำเลยมิได้อยู่บ้าน จำเลยจึงไม่ทราบนัด และมิได้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยเพิ่งทราบการอ่านคำพิพากษาดังกล่าวเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะยื่นฎีกาแล้วนั้นเป็นการอ้างในเรื่องส่วนตัวของจำเลยเอง ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยศาลชอบที่จะยกคำร้องโดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไต่สวนคำร้องของจำเลยก่อนแต่อย่างใด
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ต่อมาศาลชั้นต้นนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในวันที่ 18 กันยายน2535 ได้แจ้งให้จำเลยทราบนัดโดยวิธีปิดหมายนัดที่บ้านของจำเลยถึงวันนัดโจทก์จำเลยไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลชั้นต้นงดการอ่านคำพิพากษาและให้ถือว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้อ่านตามกฎหมายแล้ว
จำเลยยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2535 ว่า จำเลยย้ายออกจากบ้านที่เจ้าพนักงานศาลนำหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไปปิดนานแล้ว มีเพียงญาติจำเลยเป็นผู้ดูแลบ้านดังกล่าว จำเลยจึงไม่ทราบวันนัดและมิได้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยเพิ่งทราบการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2หลังจากพ้นกำหนดระยะเวลาที่จำเลยจะฎีกาแล้ว จำเลยขออนุญาตยื่นฎีกาโดยให้ศาลกำหนดเวลาให้จำเลยยื่นฎีกาตามที่เห็นสมควร
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีล่วงเลยกำหนดเวลายื่นฎีกามาเป็นเวลานานแล้วจึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ตั้งแต่ยื่นคำให้การจนถึงยื่นอุทธรณ์คำสั่งเป็นเวลาเกือบ 2 ปี จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ตามฟ้อง ต่อจากนั้นเพียง 9 เดือน ศาลชั้นต้นได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ปรากฏว่าจำเลยย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่นทั้งจำเลยมิได้แจ้งให้ศาลทราบถึงการย้ายภูมิลำเนาตามคำร้องพอวินิจฉัยได้ว่าจำเลยมิได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยไม่จำต้องไต่สวนตามคำร้องจำเลยก่อน พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามคำร้องจำเลยอ้างว่าจำเลยย้ายออกจากบ้านที่เจ้าพนักงานศาลไปปิดหมาย โดยให้ญาติเป็นผู้ดูแลบ้านดังกล่าวจำเลยจึงไม่ทราบนัด และมิได้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2เพิ่งทราบการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะยื่นฎีกาแล้ว ขออนุญาตยื่นฎีกา โดยให้ศาลกำหนดเวลาตามที่เห็นสมควรนั้น เห็นว่า ในคำร้องจำเลยมิได้โต้แย้งว่า การส่งหมายนัดไม่ชอบแต่ประการใด เป็นการยอมรับว่าการส่งหมายนัดโดยวิธีปิดหมายชอบแล้ว เพียงแต่จำเลยมิได้อยู่บ้าน จึงไม่ทราบวันนัดมาทราบภายหลังเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดยื่นฎีกา จึงขออนุญาตฎีกาเห็นได้ชัดว่าจำเลยประสงค์จะยื่นฎีกา และได้ขออนุญาตยื่นฎีกาโดยให้ศาลกำหนดเวลาให้จำเลย เท่ากับเป็นการขอขยายระยะเวลาในการยื่นฎีกา ต้องพิจารณาคำร้องขอของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ซึ่งกำหนดให้ศาลมีอำนาจขยายระยะเวลาได้ แต่พึงกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย กรณีของจำเลยยื่นคำร้องเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้วจึงต้องมีเหตุสุดวิสัยที่จำเลยอ้างในคำร้องว่าไม่ทราบวันนัดนั้น เห็นว่า เมื่อมีการส่งหมายนัดโดยชอบแล้ว กฎหมายถือว่าจำเลยทราบวันนัด กรณีที่จำเลยอ้างมาตามคำร้องว่าไม่ทราบวันนัดนั้นเป็นการอ้างในเรื่องส่วนตัวของจำเลยเองไม่ใช่เหตุสุดวิสัย จึงไม่มีความจำเป็นอันใดจะต้องไต่สวนคำร้องของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน