คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2289/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับฝ่ายโจทก์ว่าจะจ่ายค่าทำขวัญให้ในกรณีเรือยนต์หางยาวรับจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 จมลงทำให้มารดา พี่สาว และบุตรโจทก์ซึ่งโดยสารเรือมาด้วยจมน้ำตาย แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ดังนั้นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นย่อมเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ จำเลยจะอ้างเอาสัญญาประนีประนอมยอมความขึ้นเป็นข้อต่อสู้หาได้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ให้รับผิดในมูลละเมิดซึ่งจำเลยที่ 1 ลูกจ้างได้ขับเรือยนต์หางยาวไปในทางการที่จ้างได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นเจ้าของกิจการเรือยนต์หางยาวข้ามฟากแม่น้ำมูลเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๓ เวลา ๘ นาฬิกา จำเลยที่ ๑ ได้ขับเรือยนต์หางยาวของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไปในทางการที่จ้างของจำเลยดังกล่าว โดยมีมารดาและพี่สาวของโจทก์ที่ ๑ และบุตรของโจทก์ที่ ๒ โจทก์ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ โดยสารร่วมกับคนอื่น จำเลยที่ ๑ ขับเรือออกจากฝั่งด้านอำเภอเมืองศรีสะเกษ เพื่อข้ามแม่น้ำมูลไปทางด้านอำเภอยางชุมน้อย โดยประมาทด้วยความเร็วสูง เมื่อเรือแล่นไปถึงกลางลำน้ำมูล จำเลยที่ ๑ ได้เร่งความเร็วขึ้น ประกอบกับกระแสน้ำไหลเชี่ยว น้ำได้เข้าทางหัวเรือ เรือเอียงไปมาและเสียการทรงตัวจมลงในกระแสน้ำ มารดาและพี่สาวของโจทก์ที่ ๑ และบุตรของโจทก์ที่ ๒โจทก์ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ จมน้ำตายขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งห้ารวมเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ แต่ผู้เดียวเป็นเจ้าของกิจการเรือข้ามฟากลำเกิดเหตุ จำเลยที่ ๔ เป็นลูกจ้าง จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างแต่ได้แอบนำเรือของจำเลยที่ ๒ไปรับคนโดยสารเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยอื่นไม่รู้เห็นยินยอม ผู้โดยสารมีส่วนร่วมในการที่ทำให้เรือล่ม จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย โจทก์เรียกค่าสินไหมทดแทนเกินความเป็นจริงหลังเกิดเหตุโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและรับเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความไปแล้ว โจทก์ทั้งห้าจึงฟ้องเรียกร้องอีกไม่ได้ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมายจ.ล.๔ ไม่มีผลผูกพันโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ส่วนโจทก์ที่ ๔และที่ ๕ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยแล้ว มูลละเมิดจึงระงับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น แต่จำเลยยังไม่ได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ส่วนค่าสินไหมทดแทนนั้น ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ชดใช้ให้โจทก์ที่ ๑เป็นเงิน ๔๓,๕๕๐ บาท ชดใช้ให้โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ คนละ ๒๓,๓๕๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จส่วนโจทก์ที่ ๔ และที่ ๕ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ที่ ๔ ที่ ๕ และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เป็นเจ้าของเรือลำที่ล่ม และใช้เรือดังกล่าวหาประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่๑ เป็นลูกจ้างและขับเรือลำดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ โดยประมาท หนังสือสัญญาจ่ายเงินตามเอกสารหมาย จ.ล.๔ ไม่มีผลใช้บังคับที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ชดใช้ค่าทำศพให้แก่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ คนละ๓,๐๐๐ บาท นั้นชอบแล้ว และที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าขาดไร้อุปการะให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ คนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นั้นชอบแล้ว โจทก์ที่ ๕ มีอำนาจที่จะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะในการที่นางวันเพ็ญบุตรโจทก์ที่ ๕ และบุตรของนางวันเพ็ญถึงแก่ความตายได้ โจทก์ที่ ๔ ที่ ๕ สมควรได้รับค่าโลงศพคนละ ๓๕๐ บาท ค่าทำศพคนละ ๓,๐๐๐ บาท ค่าขาดไร้อุปการะคนละ ๒๐,๐๐๐ บาท พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ ๔ ที่ ๕ คนละ ๓๓,๓๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ถึงที่ ๔ ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ คนละไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ คนละ ๒๓,๓๕๐ บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ ในชั้นนี้จึงมีปัญหาเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ในเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕
ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติแล้วว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เป็นเจ้าของและเป็นผู้ครอบครองเรือพิพาทร่วมกัน จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างและขับเรือลำดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ โดยประมาท
ในเบื้องต้นจะได้วินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ที่ว่า โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๕ มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ หรือไม่ เสียก่อน
ตามทางนำสืบของโจทก์และจำเลยได้ความตรงกันว่า นายสวนจำเลยที่ ๒ ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายเซ็น เสาเวียง นายพร โคตรรัตน์ นายหนู เสาเวียง นายเทือง โตมร และนายบน ประกอบศรี ตามเอกสารหมาย ล.๑ และตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบุคคลดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.ล.๔ ต่อหน้าพนักงานสอบสวนว่าจะให้ค่าทำขวัญกับบุคคลเหล่านั้นในฐานะที่เป็นทายาทของผู้เสียหายเป็นเงินคนละ ๒,๕๐๐ บาท เฉพาะรายนายบน ประกอบศรี เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท แต่ปรากฏว่านายสวน จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาเอกสารหมาย ล.๑ และ จ.ล.๔ เมื่อเป็นเช่นนี้สัญญาเอกสารหมาย ล.๑ และ จ.ล.๔ ย่อมเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ จำเลยจะอ้างเอาสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้หาได้ไม่ โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๕ จึงมีอำนาจที่จะฟ้องจำเลยที่๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ให้รับผิดในมูลละเมิดซึ่งจำเลยที่ ๑ ลูกจ้างกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้
ปัญหาต่อไปในเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ชดใช้แก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน๔๐,๐๐๐ บาทชดใช้แก่โจทก์ที่ ๔ และที่ ๕ คนละ ๒๐,๐๐๐ บาท สูงเกินไปนั้น เห็นว่า โจทก์ที่ ๑ กำลังศึกษาเล่าเรียน จำนวนค่าอุปการะเลี้ยงดูที่โจทก์ที่ ๑ ขอมาเดือนละ ๕๐๐ บาท รวมทั้งหมด ๔๐,๐๐๐ บาท เป็นการพอสมควรแล้ว ส่วนการอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ที่๔ และที่ ๕ แม้โจทก์ที่ ๔ และที่ ๕ จะไม่ได้นำสืบว่า ผู้ตายมีรายได้เดือนละเท่าใด เคยให้หรือสามารถที่จะให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นเงินเท่าใดก็ตามที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์ที่ ๔ และที่ ๕ รายละ ๒๐,๐๐๐ บาทก็เป็นการพอสมควรแล้วเช่นกัน แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ ๔ โจทก์ที่ ๕ รายละ ๓๓,๓๕๐ บาทนั้นเป็นการรวมจำนวนเงินไม่ถูกต้อง แม้คดีนี้จำเลยที่ ๑ จะมิได้ฎีกา แต่เป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้มีผลถึงจำเลยที่ ๑ ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ ๔ โจทก์ที่ ๕ รายละ ๒๓,๓๕๐ บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share