คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2288/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีทั้งชื่อไทยและจีนได้กู้เงินโจทก์ที่ฮ่องกงทำหลักฐานการกู้และลงลายมือชื่อไว้เป็นภาษาจีนจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ที่ฮ่องกงหลักฐานการกู้โจทก์ปลอมแปลงขึ้นลายเซ็นชื่อในเอกสารไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยดังนี้ โจทก์ย่อมมีหน้าที่นำสืบว่าชื่อในหลักฐานการกู้เป็นชื่อของจำเลยและไม่ปลอมทั้งขณะที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์นั้น จำเลยอยู่และทำหลักฐานให้โจทก์ที่ฮ่องกงต่อเมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้วระหว่างการสืบพยานจำเลย โจทก์จึงเพิ่งยื่นคำร้องว่าที่จำเลยเบิกความว่าอ่านเขียนภาษาจีนไม่เป็น ไม่ได้ชื่อภาษาจีนไม่ได้ไปฮ่องกงใน ปีที่ลงในสัญญากู้นั้นโจทก์สามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่เป็นความจริงเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขออนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 120 แต่ปรากฏว่าในชั้นที่โจทก์นำสืบ โจทก์ได้อ้างพยานหลักฐานดังกล่าวไว้ในบัญชีระบุพยานแสดงว่าโจทก์รู้อยู่แล้ว และเตรียมพร้อมที่จะนำสืบพิสูจน์ข้ออ้างดังกล่าวอันอยู่ในประเด็นที่โจทก์จะต้องนำสืบมาแต่ต้นแล้วแต่ในการนำสืบของโจทก์ โจทก์ก็มิได้แสดงหลักฐานเหล่านี้ต่อศาล ตามคำร้องของโจทก์จึงเป็นการกล่าวอ้างและขอนำสืบพยานเพื่อเพิ่มเติมคดีของโจทก์กรณีเช่นนี้จะอ้างว่าโจทก์ไม่อาจคาดหมายได้ล่วงหน้าถึงข้อนำสืบของจำเลยหาได้ไม่ศาลชอบที่จะสั่งยกคำร้องดังกล่าวของโจทก์เสีย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณวันที่ 15 กันยายน 2513 จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ที่ประเทศฮ่องกงเป็นเงินเหรียญสิงคโปร์จำนวน 50,000 เหรียญและต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2514 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์อีกเป็นเงินเหรียญฮ่องกง 86,000 เหรียญ โดยตกลงจะให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันกู้ยืม จำเลยได้รับเงินทั้งสองจำนวนจากโจทก์แล้ว ปรากฏตามหลักฐานสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ต้นเงินและดอกเบี้ยคิดเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนในวันฟ้องเป็นเงินไทยทั้งสิ้น 1,328,703 บาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 50,000 บาท เหรียญสิงคโปร์ และต้นเงิน 86,000 เหรียญฮ่องกง นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์

จำเลยให้การว่า หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องโจทก์เป็นหนังสือปลอมจำเลยไม่เคยกู้เงินโจทก์ที่ประเทศฮ่องกงเป็นจำนวนเงินและตามวันที่โจทก์กล่าวในฟ้อง หนังสือกู้เงินทั้งสองฉบับท้ายฟ้องเป็นเอกสารที่โจทก์ปลอมแปลงขึ้น จำเลยไม่เคยทำเอกสารดังกล่าวให้โจทก์ ลายเซ็นชื่อในเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวมิใช่ลายมือชื่อของจำเลย และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยขอให้พิพากษายกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ข้อนำสืบของโจทก์ไม่พอรับฟังอย่างชัดแจ้งว่าลายมือชื่อคำว่า ฮู้ต้า ในเอกสารหมาย จ.4 จ.5 เป็นลายมือชื่อของจำเลย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปทั้งสองครั้งตามฟ้อง จำเลยนำสืบนอกเหนือจากที่ให้การไว้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็น โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอพิสูจน์ความจริงให้เห็นข้อเท็จจริงของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 120 และขอระบุพยานและนำสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรค 3 ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต โจทก์ได้แถลงคัดค้านไว้แล้ว ขอให้พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามฟ้องโจทก์ หรือมิฉะนั้นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์นำพยานเข้าสืบตามคำร้องของโจทก์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นสมควรอนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 120 และการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีมาโดยไม่อนุญาตให้โจทก์มีโอกาสนำพยานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์พยานจำเลยเสียก่อนตามที่โจทก์ร้องขอถือได้ว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณาตามมาตรา 243(2) พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาสืบตามคำร้องขอพิสูจน์พยานของโจทก์ และถ้าหากว่าจำเลยประสงค์จะนำพยานมาสืบแก้ก็อนุญาตให้สืบได้ เสร็จแล้วให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา

มูลกรณีตามปัญหานี้ได้ความว่าโจทก์นำพยานเข้าสืบตามประเด็นข้อพิพาทและแถลงหมดพยานโจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นจึงทำการสืบพยานจำเลยในระหว่างจำเลยยังสืบพยานไม่เสร็จ โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 19 ธันวาคม 2518 ความว่า ที่จำเลยเบิกความว่าไม่มีความรู้ภาษาจีนเขียนและอ่านภาษาจีนไม่เป็นและไม่ได้ชื่อฮู้ต๋านั้น โจทก์สามารถพิสูจน์ได้ด้วยพยานเอกสารและพยานบุคคลว่า จำเลยมีความรู้ภาษาจีนดี เขียนและอ่านภาษาจีนได้ดีดังตัวอย่างเช่นสำเนาเอกสารท้ายคำร้องนี้พร้อมด้วยคำแปล และที่จำเลยเบิกความว่า ปี 2513, 2514 ไม่เคยเดินทางไปฮ่องกง ไม่เคยพักโรงแรมลกก๊ก และโรงแรมฮาร์เบอร์ โจทก์สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยเข้าและออกเมืองฮ่องกงในปี 2513, 2514 โดยเฉพาะในระยะใกล้เคียงกับวันที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ ดังนั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอศาลได้อนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 120 ด้วย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีทั้งชื่อไทยและชื่อจีนโดยกล่าวอ้างว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ที่ประเทศฮ่องกง หลักฐานการกู้ยืมสองฉบับท้ายฟ้องปรากฏว่าทำกันไว้เป็นภาษาจีน ลายมือชื่อในหลักฐานการกู้ก็เป็นภาษาจีน ไม่ใช่ลายมือชื่อภาษาไทย จำเลยให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ที่ฮ่องกงในวันที่ 15 กันยายน 2513 และวันที่ 22 พฤษภาคม 2514 ตามที่โจทก์ฟ้องเคย หลักฐานการกู้ทั้งสองฉบับโจทก์ปลอมแปลงขึ้น จำเลยไม่เคยทำเอกสารดังกล่าวให้แก่โจทก์ ลายเซ็นชื่อ ในเอกสารมิใช่ลายมือชื่อของจำเลย ดังนี้โจทก์ย่อมมีหน้าที่นำสืบว่าชื่อภาษาจีนที่ปรากฏในหลักฐานการกู้เป็นชื่อของจำเลยและไม่ปลอมทั้งขณะที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์นั้นจำเลยอยู่ที่ประเทศฮ่องกงโดยทำหลักฐานการกู้ยืมให้โจทก์ไว้ที่ประเทศฮ่องกงด้วย คำร้องของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นอ้างเหตุว่าคำเบิกความของจำเลยที่ว่าจำเลยไม่มีความรู้ภาษาจีนไม่ควรเชื่อฟัง โจทก์สามารถพิสูจน์ได้จากเอกสารขอพักโรงแรมลกก๊กที่ฮ่องกงซึ่งปรากฏว่าจำเลยกรอกข้อความเป็นภาษาจีนด้วยลายมือจำเลยเองนั้น ปรากฏว่าเอกสารการขอเข้าพักโรงแรมนี้ ในชั้นนำสืบพยานโจทก์ โจทก์ได้อ้างไว้ในบัญชีระบุพยานฉบับลงวันที่ 10 กันยายน 2518 อันดับ 2 แล้ว แต่ในการนำสืบของโจทก์โจทก์มิได้นำเอกสารนี้มาแสดงต่อศาลเอง ส่วนคำร้องของโจทก์ที่อ้างเหตุว่าคำเบิกความของจำเลยที่ว่าปี 2513, 2514 จำเลยไม่เคยเดินทางไปฮ่องกงและไม่เคยพักโรงแรมลกก๊กและโรงแรมฮาร์เบอร์ไม่ควรเชื่อฟัง โจทก์สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยเข้าและออกเมืองฮ่องกงในปี พ.ศ. 2513, 2514 นั้นก็ปรากฏว่าตามบัญชีระบุพยานของโจทก์ โจทก์ได้ระบุพยานบุคคลไว้หลายปากและพยานเอกสารหลายฉบับ เช่นเอกสารแสดงความจำนงเข้าพักโรงแรมลกก๊กและโรงแรมฮาร์เบอร์ฮ่องกงของจำเลย หนังสือรับรองของโรงแรมที่อ้างว่าจำเลยพักที่ฮ่องกงระหว่างทำสัญญากู้ หนังสือเดินทางของจำเลยระหว่างปี 2513 ถึง 2516 หลักฐานการเข้าเมืองฮ่องกง หลักฐานการขอออกเดินทางนอกประเทศของจำเลยในเดือนกันยายน 2513 และเดือนพฤษภาคม 2514 เป็นต้น การที่โจทก์ระบุอ้างพยานหลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ในบัญชีระบุพยานของโจทก์ย่อมแสดงให้เห็นว่าโจทก์รู้อยู่แล้วและเตรียมพร้อมที่จะนำสืบพิสูจน์ว่าจำเลยเดินทางเข้าออกที่เมืองฮ่องกงในปี พ.ศ. 2513, 2514 และขณะที่กู้ยืมเงินโจทก์นั้นจำเลยอยู่ที่ประเทศฮ่องกง อันอยู่ในประเด็นที่โจทก์จะต้องนำสืบไว้แต่ต้นแล้ว แต่ในการนำสืบของโจทก์ โจทก์มิได้นำสืบถึงพยานหลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้ หรือนำพยานหลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้มาแสดงต่อศาลทั้ง ๆ ที่ได้ระบุอ้างเป็นพยานหลักฐานไว้แล้วในบัญชีระบุพยาน ดังนั้น คำร้องของโจทก์ที่อ้างว่าคำเบิกความของจำเลยที่ว่าจำเลยไม่มีความรู้ภาษาจีนไม่ควรเชื่อฟังโดยโจทก์สามารถพิสูจน์ได้จากเอกสารขอพักโรงแรมลกก๊กที่ฮ่องกงก็ดี และที่อ้างว่าคำเบิกความของจำเลยที่ว่าปี 2513, 2514 จำเลยไม่เคยเดินทางไปฮ่องกง ไม่เคยพักโรงแรมลกก๊กและโรงแรมฮาร์เบอร์ไม่ควรเชื่อฟัง โดยโจทก์สามารถพิสูจน์ได้จากพยานหลักฐานของโจทก์ว่าจำเลยเข้าและออกเมืองฮ่องกงในปี 2513, 2514 ก็ดีจึงเป็นการกล่าวอ้างและขอนำสืบพยานเพิ่มเติมคดีของโจทก์ซึ่งโจทก์ควรจะนำสืบไว้แต่ต้นดังกล่าวแล้ว กรณีเช่นนี้จะอ้างว่าโจทก์ไม่อาจคาดหมายได้ล่วงหน้าถึงข้อนำสืบของจำเลยดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหาได้ไม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของโจทก์นั้นชอบแล้ว

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีต่อไปแล้วมีคำพิพากษาใหม่ไปตามรู้ความค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ฎีกาให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งในคำพิพากษาใหม่

Share