คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2286/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาบุกรุกที่พิพาทซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้องซึ่งเท่ากับฟังว่าโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งหาว่าจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินโจทก์ขอให้ขับไล่ซึ่งมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกันว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทหรือไม่ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งนี้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาตามป.วิ.อ.มาตรา46.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและบริวารได้เข้าครอบครองที่ดินโจทก์อันเป็นการกระทำละเมิดและโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุกแล้วขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทไม่ใช้ของโจทก์แต่เป็นถนนสาธารณะประโยชน์ จำเลยและบริวารไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาบุกรุกที่พิพาทครั้งหนึ่งแล้วตามความคดีอาญาหมายเลขดำที่ 14560/2523 หมายเลขแดงที่ 18254/2524 ของศาลอาญาซึ่งศาลอาญาและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว ปัญหาวินิจฉัยมีว่าการพิพากษาคดีนี้ ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์คดีนี้ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นคดีอาญาข้อหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินศาลพิพากษายกฟ้อง โดยศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีฟังไม่ได้แน่ชัดว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้องผลแห่งคำวินิจฉัยคดีส่วนอาญา เป็นการฟังว่าโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทนั่นเอง ดังนั้นเมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ซึ่งมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกันว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทหรือไม่ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46ฯลฯ
พิพากษากลับเป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฯลฯ”.

Share