คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2285/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ในกรณีที่โจทก์ประวิงคดี การที่จะวินิจฉัยให้โจทก์ชนะหรือแพ้คดีย่อมอยู่ที่คำฟ้อง คำให้การ และคำรับของคู่ความ เมื่อจำเลยแถลงยินยอมให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยจะไม่เกี่ยวข้องต่อไปอีก การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยได้แล้ว พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้าม จำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง และให้จำเลยรื้อถอนรั้วลวดหนาม ในที่ดินดังกล่าว จึงชอบด้วยวิธีพิจารณา

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ให้รื้อถอนรั้ว จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ตามสำนวนปรากฏว่าศาลชั้นต้นชี้สองสถานวันที่ 1 ธันวาคม 2518 แล้วนัดพร้อมเพื่อตกลงกันในวันที่ 24 ธันวาคม 2518 ถึงวันนัดพร้อม คู่ความขอให้ทำแผนที่พิพาทเจ้าหน้าที่ทำแผนที่พิพาทแล้ว จำเลยแถลงว่า แผนที่พิพาทไม่ถูกต้อง ขอให้ทำใหม่ ศาลชั้นต้นอนุญาต ได้นัดพร้อมและเลื่อนไปอีก วันที่ 27 พฤศจิกายน 2520 เจ้าหน้าที่ไปทำแผนที่พิพาทใหม่ ศาลชั้นต้นนัดพร้อมและนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 1 มิถุนายน 2521 แต่โจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนไปวันที่ 6 มิถุนายน 2521 ถึงวันนัด โจทก์ขอเลื่อนไปวันที่ 4 กันยายน 2521 ถึงวันนัด โจทก์ขอเลื่อนอีก ศาลชั้นต้นสอบจำเลย จำเลยแถลงว่า ยินดีจะยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามฟ้อง คดีจะได้เลิกกันไป โจทก์ขอสืบพยานเพื่อพิสูจน์ที่ดิน จำเลยแถลงว่าหากโจทก์แถลงดังกล่าวก็ไม่อาจตกลงกันได้ ศาลชั้นต้นเลื่อนไปสืบพยานโจทก์วันที่ 9 ตุลาคม 2521 ถึงวันนัด โจทก์ขอเลื่อน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์วันที่ 23 พฤศจิกายน 2521 ถึงวันนัด ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า จำเลยแถลงยินยอมให้ที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์จำเลยจะไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทดังกล่าวต่อไปอีก โจทก์แถลงว่าไม่พอใจตามที่จำเลยแถลง ขอสืบพยานโจทก์แต่พยานโจทก์ยังไม่พร้อม ขอเลื่อน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้ จำเลยแถลงยินยอมให้ที่พิพาทตามฟ้องแก่โจทก์ตั้งแต่นัดก่อนแล้ว แต่โจทก์ยังไม่พอใจขอเลื่อนการพิจารณามานัดหนึ่ง บัดนี้โจทก์ขอเลื่อนอีกโดยที่จำเลยยินยอมให้ที่พิพาทแก่โจทก์ตามฟ้อง ประกอบกับคดีนี้โจทก์ขอเลื่อนการพิจารณามาหลายครั้งเกี่ยวกับทำแผนที่พิพาทและตั้งทนายความ ถือว่าโจทก์ประวิงคดี ไม่ขวนขวายเตรียมคดีให้พร้อมและขอเลื่อนการพิจารณาอีก ทั้งคดีนี้ข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยได้แล้วจึงไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนการพิจารณาต่อไปอีก

ที่จำเลยฎีกาว่า แผนที่ท้ายฟ้องและแผนที่พิพาทไม่ได้ระบุอาณาเขตกว้างยาวเป็นการเคลือบคลุม ไม่สามารถบังคับคดีได้และยากต่อการปฏิบัติตามคำตัดสินของศาล ต่อไปต้องพิพาทกันอีก ไม่เป็นการยุติแห่งข้อพิพาทได้เพราะโจทก์คงกลับไปก่อกวนจำเลยอีกต่อไปนั้น ตามคำฟ้องโจทก์ข้อ 2 มีข้อความว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำรั้วลวดหนามบุกรุกเข้าไปในที่ดินโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกจากจุด จ. มายังจุด ฉ. ประมาณ 3 เส้นโดยมุ่งไปทางทิศเหนือ ดังแนวเขตเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขป เป็นการระบุแนวเขตที่จำเลยบุกรุกประกอบแผนที่ท้ายฟ้องและปรากฏว่าที่ดินโจทก์เป็นที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว ย่อมมีเขตที่ดินที่แน่นอน และจำเลยก็แถลงยินยอมให้ที่พิพาทในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ จำเลยจะไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาทต่อไปอีก เห็นได้ว่า ตามฟ้องโจทก์และคำแถลงของจำเลยพอที่จะบังคับคดีได้ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ประวิงคดี เท่ากับโจทก์มาศาลโดยไม่สุจริตตามข้อต่อสู้จำเลย จึงควรยกฟ้องโจทก์ ไม่ควรพิจารณาต่อไป การที่พิจารณาให้ผู้ที่ไม่สุจริตชนะคดีเป็นการขัดต่อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อปรากฏว่าโจทก์ประวิงคดี ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนการพิจารณาแต่หามีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ในกรณีที่โจทก์ประวิงคดีไม่ การที่จะวินิจฉัยให้โจทก์ชนะหรือแพ้คดี ย่อมอยู่ที่คำฟ้อง คำให้การ และคำรับของคู่ความ เมื่อจำเลยแถลงยินยอมให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยจะไม่เกี่ยวข้องต่อไปอีก การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง และให้จำเลยรื้อถอนรั้วลวดหนามในที่ดินดังกล่าวจึงชอบด้วยวิธีพิจารณาแล้ว”

พิพากษายืน

Share