คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 ผู้กระทำผิดต้องมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์แล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นโดยทุจริต จำเลยที่ 1เป็นเจ้าพนักงานตำรวจตำแหน่งเจ้าหน้าที่สายตรวจ มิได้มีหน้าที่จัดการหรือรักษาเลื่อยยนต์ของกลางซึ่งนายดาบตำรวจ ส.เป็นผู้เก็บรักษา การที่จำเลยที่ 1 ลักเลื่อยยนต์ดังกล่าวไปจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 จำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่เวรยามและสายตรวจมีหน้าที่ดูแลรักษาสิ่งของต่าง ๆ ในบริเวณสถานีตำรวจ ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งโดยชอบให้ดูแลรักษาทรัพย์ของกลางที่สถานีตำรวจด้วย การที่จำเลยที่ 1 อาศัยโอกาสดังกล่าวลักเลื่อยยนต์ของกลางไปขายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามป.อ. มาตรา 157.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา142, 147, 157, 335, 357, 83, 86
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 142, 147, 157, 335, 90 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 6 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปีข้อหาอื่นให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157 จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142, 335 วรรคสาม เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคสามซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวน มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 ด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธร อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สายตรวจ มีอำนาจหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดกฎหมาย และมีคำสั่งของผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่เวรยามและสายตรวจ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่เวรยามจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกลักเลื่อยยนต์ของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอหนองพอกยึดมาเป็นของกลางเพื่อเป็นพยานหลักฐานและพนักงานสอบสวนมอบของกลางดังกล่าวให้นายดาบตำรวจสัมพันธวงศ์ ผดุงเวียง เป็นผู้เก็บรักษาไว้ที่ห้องเก็บรักษาทรัพย์หรือห้องคดี มีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และ 157ด้วยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147ผู้กระทำผิดต้องมีหน้าที่จัดการหรือรักษาเลื่อยยนต์ของกลางโดยชอบแล้วเบียดบังเอาเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต แต่คดีนี้จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งหน้าที่สายตรวจมีอำนาจหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด หาได้มีหน้าที่ในการจัดการหรือรักษาของกลางโดยตรงไม่ผู้มีหน้าที่รักษาและผู้ที่พนักงานสอบสวนมอบหมายให้เป็นผู้รักษาคือนายดาบตำรวจสัมพันธวงศ์ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่จัดการหรือรักษาเลื่อยยนต์ของกลางโดยตรง ย่อมไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เห็นว่าระหว่างจำเลยที่ 1 ลักเลื่อยยนต์ของกลาง ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่เวรยามและสายตรวจ มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ความสะอาดและรักษาสิ่งของต่าง ๆ ในบริเวณสถานีตำรวจภูธรอำเภอหนองพอก ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งโดยชอบให้ดูแลรักษาทรัพย์ของกลางที่สถานีตำรวจดังกล่าวด้วย จำเลยที่ 1 ได้อาศัยโอกาสระหว่างตนเองทำหน้าที่เวรยาม ลักเลื่อยยนต์ของกลางซึ่งอยู่ในความดูแลตามหน้าที่ไปขายแล้วนำเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แล้ว”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 142, 157, 335 วรรคสาม เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักนอกจากที่แก้และกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share