แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ตามข้อยกเว้นที่จะอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1)(2) และ (3)คดีจึงถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว ศาลจะดำเนินกระบวนพิจารณาในเรื่องที่จำเลยอ้างอันเป็นข้อเท็จจริง ในประเด็นแห่งคดีที่ศาลได้พิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว และวินิจฉัยคดีใหม่อีกย่อมไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 อุทิศที่ดินให้โจทก์เพื่อใช้สร้างทางสายพิษณุโลก- วังทอง เป็นทางสาธารณประโยชน์ จำนวนเนื้อที่ 800 ตารางเมตร ต่อมาโจทก์สร้างทางหลวงแผ่นดินสายพิษณุโลก – หล่มสัก โดยเปลี่ยนเส้นทางจากสายพิษณุโลก – วังทอง ไปเล็กน้อย ใช้ที่ดินที่จำเลยอุทิศให้ 550.82 ตารางเมตร คงเหลือที่ดินอีก 249.18 ตารางเมตร โจทก์ครอบครองที่ดินส่วนที่เหลือนี้ตลอดมา ต่อมาจำเลยที่ 1 ขายที่ดินให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จำนวน 1 ไร่ 3 งาน 6 ตารางวา ติดที่ดินที่จำเลยที่ 1 อุทิศให้โจทก์ไปด้วย62.293 ตารางวา และต่อมาจำเลยที่ 5 ถึงที่ 10 ซื้อที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โดยจำเลยที่ 5 และที่ 6 ได้ที่ดินส่วนของโจทก์15.045 ตารางวา และสร้างอาคารบนที่ดินนั้น จำเลยที่ 7 ได้ที่ดินส่วนของโจทก์ 10.124 ตารางวาและสร้างอาคารบนที่ดินเช่นเดียวกัน จำเลยที่ 8 ที่ 9 และที่ 10 ได้ที่ดินส่วนของโจทก์ 22.625 ตารางวา 7 ตารางวา และ 7.5 ตารางวาตามลำดับ อันเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลย ให้จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 รื้ออาคารออกจากที่ของโจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขาดอายุความที่ดินที่จำเลยที่ 1 อุทิศให้ไม่ใช่ที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 ขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 และต่อมาจำเลยที่ 5 ถึงที่ 10 รับซื้อไว้โดยสุจริต จดทะเบียนสิทธิจนได้กรรมสิทธิ์ไปแล้ว จำเลยที่ 1 อุทิศที่ดินโดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 9 และที่ 10 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยทั้งหมดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล โดยจำเลยยินยอมให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขาย ให้ที่ดินกลับเป็นของโจทก์ตามฟ้อง เมื่อรังวัดสอบเขตแล้วปรากฏว่าที่ดินของจำเลยอยู่ในเขตของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ยกให้โจทก์ตามหนังสือลงวันที่ 1 เมษายน 2490 ในกรณีนี้โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ปลูกสร้างอาคารลงบนที่ดินแล้วเช่าที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ได้ แต่ถ้ารังวัดแล้วที่ดินตามโจทก์ฟ้องมิได้อยู่ในเขตของโจทก์ ที่ดินนั้นก็ตกเป็นของจำเลยตามเดิม โดยโจทก์ไม่มีสิทธิเกี่ยวข้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
ต่อมาเมื่อรังวัดที่ดินตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า หนังสือที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินให้โจทก์ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความ แก้จำนวนที่ดินจาก 400 ตารางเมตรเป็น 800 ตารางเมตร และราคาที่ดินจาก 1,500 บาท เป็น3,000 บาท ข้อความในหนังสือที่ระบุว่าที่ดินตามแนวระวาง ก.ม.0279 – 0319เป็นลายมือเขียนขึ้นภายหลัง ฯลฯ ขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เนื้อที่ดินตามเอกสารที่จำเลยอุทิศไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง เป็นโมฆะ จะนำมารังวัดตรวจสอบที่ดินมิได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วสั่งยกคำร้องของจำเลย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยทุกคนตามฟ้องได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดี ศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยไม่อุทธรณ์ตามข้อยกเว้นที่จะอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1)(2)(3) คดีจึงถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว ปัญหาตามคำร้องของจำเลยที่อ้างว่า หนังสือที่จำเลยที่ 1 อุทิศที่ดินให้โจทก์ ถูกแก้ไขข้อความ โดยจำเลยที่ 1 อุทิศให้เพียง 400 ตารางเมตร ถูกแก้เป็น800 ตารางเมตร แก้ราคาที่ดิน 1,500 บาท เป็น 3,000 บาทนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างโต้เถียงฟ้องของโจทก์ซึ่งกล่าวยืนยันไว้ในหนังสืออุทิศที่ดินที่แนบมาท้ายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 อุทิศที่ดินให้โจทก์ 800 ตารางเมตร มีราคา 3,000 บาท ในคำให้การจำเลยที่ต่อสู้คดีก็ไม่มีข้อโต้เถียงเรื่องเนื้อที่ดินและราคาที่จำเลยอุทิศให้ ข้อเท็จจริงต้องฟังว่าเนื้อที่ดินที่จำเลยอุทิศ 800 ตารางเมตร ราคา 3,000 บาทดังฟ้อง เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีผลผูกพันคู่ความเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ศาลจะดำเนินกระบวนพิจารณาในเรื่องที่จำเลยอ้างอันเป็นข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีที่ศาลได้พิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว และวินิจฉัยใหม่อีกย่อมไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคแรก และกรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ข้อ (1) ถึง (5) ฯลฯ
พิพากษายืน