คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 227/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยสมคบกันปลอมพินัยกรรมขึ้นแล้วนำพินัยกรรมปลอมไปใช้ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับพินัยกรรมฉบับที่แท้จริงได้รับความเสียหาย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ในชั้นแรก แม้จะได้ฟ้องบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยอื่นไว้ แต่โจทก์ได้ถอนฟ้องคนเหล่านี้ไปก่อนที่จะลงมือสืบพยานโจทก์ ขณะที่เบิกความเป็นพยานโจทก์บุคคลดังกล่าวไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลย กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันปลอมแปลงพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองแต่ทางพิจารณาปรากฏว่าพินัยกรรมฉบับแท้จริงไม่ได้กระทำโดยกรมการอำเภอตามกฎหมายพินัยกรรมนั้น จึงไม่ใช่เป็นเอกสารฝ่ายเมืองก็เป็นข้อแตกต่างที่ไม่ใช่สารสำคัญ ศาลจะยกฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นปลัดอำเภอ จำเลยที่ 2 – 3 เป็นเสมียนมหาดไทยจำเลยสามคนนี้มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง จำเลยทั้ง 8 ได้สมคบกันทำความผิด คือได้ร่วมกันปลอมแปลงพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองของนายโท มาดี มีข้อความว่านายโท มาดี ได้ทำพินัยกรรมยกที่นาให้จำเลยที่ 6 และที่ 7 คนละแปลง ยกที่อยู่อาศัยพร้อมกับเรือนหนึ่งหลังให้นายอำพรโจทก์ที่ 2 และระบุให้จำเลยที่ 8 เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมนั้น จำเลยทั้งแปดได้สมคบกันลงลายมือชื่อนายโท มาดี ในพินัยกรรมอันเป็นลายมือปลอม จำเลยที่ 1 ใช้ดวงตราและรอยตราประทับลงในพินัยกรรม ความจริงนายโท มาตี ได้ทำพินัยกรรมยกที่นาให้โจทก์ที่ 1 หนึ่งแปลง ยกที่นาอีกแปลงหนึ่งให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละครึ่ง ยกที่อยู่อาศัยพร้อมด้วยเรือนหนึ่งหลังให้แก่โจทก์ที่ 2 และระบุให้นายแก้ว พิมพ์กุล เป็นผู้จัดการมรดก พินัยกรรมฉบับที่แท้จริงนี้ นายโท มาดี ได้มอบให้จำเลยที่ 2 นำไปกรอกข้อความลงในสมุดทะเบียนพินัยกรรมของอำเภอและให้จำเลยที่ 1 – 2 – 3 ดูแลรักษาตามหน้าที่ ต่อมาจำเลยทั้งแปดได้สมคบกันทำลาย ทำให้สูญหายซึ่งพินัยกรรมฉบับที่แท้จริง แล้วจำเลยทั้งแปดได้สมคบกันปลอมทะเบียนพินัยกรรม โดยตัดข้อความและขีดฆ่าทะเบียนพินัยกรรมที่ระบุให้นายแก้ว พิมพ์กุล เป็นผู้จัดการมรดกออก เติมชื่อจำเลยที่ 8 เป็นผู้จัดการมรดกแทน แล้วจำเลยที่ 1 ได้เซ็นชื่อกำกับข้อความที่ขีดฆ่านั้น จำเลยทั้งแปดได้นำพินัยกรรมปลอมไปอ้างและใช้ประกาศรับมรดกของนายโท มาดี ต่อเจ้าพนักงาน โดยจำเลยทั้งแปดรู้ว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ขอให้ลงโทษจำเลย

ก่อนไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 8 ศาลอนุญาต

ก่อนเริ่มสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ที่ 4 และที่ 5 จำเลยทั้งห้าไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยที่ 6 ที่ 7 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 6-7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 266(2), 268, 83 แต่ให้ลงโทษจำเลยฐานใช้และอ้างพินัยกรรมปลอมตามมาตรา 268 วรรค 2 กระทงเดียว จำคุกคนละ 4 ปี

จำเลยที่ 6-7 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 6-7 ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายรวม 4 ข้อ ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามลำดับ ดังนี้

(1) การที่จำเลยสมคบกันปลอมพินัยกรรมขึ้นแล้วนำพินัยกรรมปลอมไปใช้ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับพินัยกรรมฉบับที่แท้จริงได้รับความเสียหาย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) และตามมาตรา 28 ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้

(2) โจทก์ได้ยื่นฟ้องนายแสวง นายชัยวัฒน์และจ่าสิบตำรวจบุญเกิดเป็นจำเลยต่อมาได้ถอนฟ้องเสียก่อนสืบพยานโจทก์ ขณะที่บุคคลทั้งสามนี้เบิกความเป็นพยานโจทก์ ทั้งสามคนไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลย กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232

(3) ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม

(4) โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันปลอมแปลงพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองของนายโท มาดี แต่ทางพิจารณาปรากฏว่า พินัยกรรมฉบับที่แท้จริงของนายโทไม่ได้กระทำโดยกรมการอำเภอตามกฎหมาย แม้พินัยกรรมของนายโทฉบับที่แท้จริงจะไม่ใช่แบบเอกสารฝ่ายเมืองก็เป็นข้อแตกต่างที่ไม่ใช่สารสำคัญศาลจะยกฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 2 หาได้ไม่

พิพากษายืน

Share