คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4355/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.อ. มาตรา 276 (เดิม) ผู้ที่จะมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราต้องเป็นชายข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภริยาตน แต่ตาม ป.อ. มาตรา 276 (ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดเหตุ ทั้งชายและหญิงอาจจะมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราแม้จะกระทำต่อภริยาหรือสามีของตนเอง หากมีการขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ ดังที่บัญญัติตาม ป.อ. มาตรา 276

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสาวซุน ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก จำคุก 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ระหว่างวันที่ 13 ถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 โจทก์ร่วมและจำเลยได้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยกับบริษัทนำเที่ยวและพักอยู่ที่โรงแรม กรุงเทพมหานคร โดยพักอยู่ห้องเดียวกันแต่แยกเตียงกัน ในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว มีบางวันบริษัทนำเที่ยวได้นำคณะท่องเที่ยวไปนอนที่พัทยา จังหวัดชลบุรี ขณะที่พักอยู่ที่โรงแรม เวลาประมาณ 3 นาฬิกา จำเลยได้กระทำชำเราโจทก์ร่วมจริง เช้าวันรุ่งขึ้นโจทก์ร่วมได้แจ้งความดำเนินคดีต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางเขน ได้มีการส่งโจทก์ร่วมไปตรวจร่างกายปรากฏตามรายงานการตรวจพิสูจน์ จำเลยหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมในวันเกิดเหตุหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญาเดิม ผู้ที่จะมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราต้องเป็นชายข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภริยาตน แต่ตามประมวลกฎหมายอาญาที่แก้ไขใหม่ ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดเหตุทั้งชายและหญิงอาจจะมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา แม้จะกระทำต่อภริยาหรือสามีของตนเอง หากมีการขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ ดังที่บัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 สำหรับคดีนี้ได้ความจากทางนำสืบโจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยว่า โจทก์ร่วมและจำเลยมีความสนิทสนมกันประมาณ 10 ปี แล้ว การเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย ก็เป็นการลงนามในสัญญากับบริษัทนำเที่ยวคู่กัน ด้วยเหตุนี้เองทางบริษัทนำเที่ยวจึงจัดให้นอนห้องเดียวกันและเตียงเดียวกัน เมื่อทางบริษัทนำเที่ยวจัดแยกเตียงให้ โจทก์ร่วมก็มิได้ปฏิเสธแต่ประการใด เมื่อพิจารณาประกอบกับภาพถ่าย โจทก์ร่วมได้ถ่ายรูปในท่าทางต่างๆ ด้วยกิริยาท่าทางสดชื่นแจ่มใส การที่ชายหญิงนอนห้องเดียวกันและมีความสนิทสนมกัน น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมและจำเลยเคยมีเพศสัมพันธ์กันมาก่อน ตามที่จำเลยเบิกความยืนยันว่า จำเลยมีเพศสัมพันธ์กับโจทก์ร่วมในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวด้วยกัน คงมีปัญหาแต่เพียงว่า การมีเพศสัมพันธ์ในคืนเกิดเหตุเกิดจากความยินยอมของโจทก์ร่วมหรือไม่ โจทก์ร่วมเบิกความว่า คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ขณะที่กำลังหลับอยู่ รู้สึกตัวเพราะจำเลยมานอนทับบนตัวโจทก์ร่วมใช้มือปิดปากไม่ให้โจทก์ร่วมร้องขอความช่วยเหลือและขู่ว่าจะฆ่า จำเลยฉีกเสื้อผ้าของโจทก์ร่วมและใช้มือจับมือของโจทก์ร่วมไว้แล้วสอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปในอวัยวะเพศของโจทก์ร่วม จากนั้นก็ลากโจทก์ร่วมเข้าไปในห้องน้ำจับกดกับโถส้วมและเตะโจทก์ร่วมจนขาแพลงและบังคับให้อาบน้ำให้ แล้วลากโจทก์ร่วมไปที่เตียงข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ถ่ายคลิปวิดีโอขณะที่โจทก์ร่วมกำลังเปลือยอยู่และขู่ว่าถ้าคิดจะหนีจะนำคลิปวิดีโอออกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต เมื่อพิจารณาประกอบกับภาพถ่าย ปรากฏว่ากางเกงชั้นใน เสื้อชั้นใน และกระโปรงของโจทก์ร่วมฉีกขาดสอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ร่วม ยังได้ความจากคำเบิกความของนายแพทย์ร้อยตำรวจเอกนนท์ชัยและรายงานการตรวจพิสูจน์ซึ่งกระทำตอนเย็นของวันเกิดเหตุว่า พยานได้สอบประวัติของโจทก์ร่วมโดยผ่านล่าม โจทก์ร่วมได้ยืนยันว่าถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราภายในห้องพัก 2 ครั้ง ตามรายงานตรวจพิสูจน์ของแพทย์ยังปรากฏว่า ตามร่างกายของโจทก์ร่วมมีบาดแผลถลอกที่สะบักซ้ายจำนวนสองแผล ที่ต้นแขนสองแผล ที่ปลายแขนซ้าย ที่หลังมือซ้าย ที่บ่าซ้าย มีบาดแผลฟกช้ำที่ปลายแขนขวา ที่เข่าทั้งสองข้าง ที่ต้นขาซ้ายและข้อเท้าขวา การที่โจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ไม่น่า จะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กันตามปกติ ยังได้ความจากคำเบิกความของนายกิตติศาสตร์ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมว่า วันเกิดเหตุเวลา 7.30 นาฬิกา พยานยืนอยู่ที่จุดรับฝากกระเป๋าของโรงแรมเห็นโจทก์ร่วมยืนร้องไห้อยู่ จึงได้เข้าไปสอบถาม โจทก์ร่วมได้ทำลักษณะมือและชี้ไปที่จำเลยซึ่งสะพายกระเป๋าสีดำ 2 ใบ กำลังจะวิ่งออกจากโรงแรมมีลักษณะรีบร้อน เมื่อพยานตะโกนให้จำเลยหยุด จำเลยไม่ยอมหยุดและทิ้งกระเป๋าทั้งสองใบ แล้ววิ่งหนีต่อไปเข้าไปยังที่ทำการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พยานได้ร้องขอให้พนักงานรักษาความปลอดภัยของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยช่วยจับจำเลยเพราะจำเลยรูปร่างใหญ่กว่า จากนั้นได้ใส่กุญแจมือจำเลยนำจำเลยกลับมาที่โรงแรม รองผู้จัดการโรงแรมเป็นผู้สั่งให้พยานถอดกุญแจมือออก ในระหว่างนั้นมีมัคคุเทศก์ผู้หญิง 2 คน เข้ามาพูดกับจำเลยและมีโจทก์ร่วมอยู่ด้วย พยานจึงทราบจากมัคคุเทศก์ว่ามีการข่มขืนกระทำชำเรากันในโรงแรม จำเลยเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมและมีการถ่ายคลิปวิดีโอไว้ พยานปากนี้ไม่มีส่วนได้เสีย หากไม่เป็นความจริงคงไม่เบิกความให้เสียหายต่อจำเลยซึ่งเป็นลูกค้าของโรงแรม ดังนั้นการที่จำเลยวิ่งหนีออกจากโรงแรมไปพร้อมกับกระเป๋าจึงเป็นพิรุธและยังสอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ร่วมว่า จำเลยเอาหนังสือเดินทางและแอบถ่ายคลิปวิดีโอไว้ ร้อยตำรวจโทหญิงสุภารัตน์และพันตำรวจตรีธนภัทร พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ได้สอบปากคำนางสาวเทียน ผู้นำท่องเที่ยวในวันเกิดเหตุได้ให้การว่า วันเกิดเหตุเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยควบคุมจำเลยอยู่ เมื่อพยานสอบถาม โจทก์ร่วมได้บอกแก่พยานว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมและเอาหนังสือเดินทางและกระเป๋าสตางค์ไป นอกจากนี้ยังได้ความว่า จำเลยได้เขียนคำรับสารภาพต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมจริง การที่จะมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งกลั่นแกล้งเขียนข้อความเป็นภาษาจีน แล้วลงลายมือชื่อจำเลยเพื่อกลั่นแกล้งเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ถ้าจำเลยเห็นว่า ลายมือเขียนและลายมือชื่อปลอม จำเลยก็น่าจะขอให้มีการตรวจพิสูจน์ นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมยังมีนายประสิทธิ์เบิกความว่า เป็นผู้แปลข้อความในแผ่นบันทึกเสียงจำนวน 6 แผ่น ให้โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมยืนยันว่า เป็นเสียงโจทก์ร่วมสนทนากับจำเลยและจำเลยคุยกับนางซุนผิงพี่สาวของโจทก์ร่วม สรุปใจความว่า จำเลยยอมรับว่าได้ละเมิดทางเพศโจทก์ร่วมจริง รายละเอียดปรากฏตามเอกสารพร้อมคำแปล รับฟังเป็นพยานประกอบได้ สรุปแล้วพยานโจทก์และโจทก์ร่วมบ่งชี้และสอดคล้องฟังได้ โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมจริง ที่จำเลยนำสืบว่า ที่โจทก์ร่วมแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยนั้น เพราะจำเลยปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานและให้เงินตามที่โจทก์ร่วมเรียกร้องฟังไม่ขึ้น เชื่อว่าคืนเกิดเหตุโจทก์ร่วมไม่มีอารมณ์ที่จะมีเพศสัมพันธ์ จำเลยจึงข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วม ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี เช่น โจทก์ร่วมและจำเลยรู้จักและคุ้นเคยกันและเคยมีเพศสัมพันธ์กันมาก่อน คืนเกิดเหตุนอนร่วมห้องเดียวกัน จำเลยมีการงานเป็นหลักแหล่งอยู่ที่บริษัทปักกิ่ง ซึ่งเป็นของนางจาง มารดาของจำเลย คำรับสารภาพและเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา สมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคหนึ่ง จำคุก 4 ปี ปรับ 15,000 บาท ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30

Share